๕. พระบิดาแห่งกฎหมายไทย ; เมื่อเยาว์วัยที่อังกฤษ
" ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ " ............โดย นิกร ทัสสโร.........
ที่หน้าอาคารศาลยุติธรรมในพื้นที่ของศาลฎีกานั้น. มีการประดิษฐานอนุสาวรีย์พระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเปิดพระรูปนี้ เมื่อที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๐๗. ต่อมาในปี ๒๕๔๙ ผมได้เขียนพระประวัติของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีไว้ เป็นภาคที่หนึ่ง ซึ่งสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คได้จัดพิมพ์จำหน่าย โดยมอบค่าลิขสิทธิ์ถวายให้แก่ " รพีบุญนิธิ " ...แม้หนังสือเล่มนี้จะได้รับการประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นหนังสือสารคดี ดีเด่น ประจำปี ๒๕๕๐ และผมได้รับรางวัลพระราชทานแล้วก็ตาม แต่ยังมีเรื่องที่ผมติดใจจะสืบค้นต่ออยู่อีก ๒ เรื่อง คือ ๑. ผมต้องการทราบว่าขณะที่พระองค์มีพระชันษา เพียง ๑๑ ปีและทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษนั้น ชีวิต และ การศึกษา ของพระองค์ เป็นอย่างไร ๒. ในช่วงท้ายแห่งพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงเข้ารับการรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลใดในกรุงปารีส ...สองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมติดใจ ติดใจมากในระดับข้าวเหนียวไก่หาย...คือ.ติดใจอยากรู้.เสียจริงๆ..นิว่าเรื่องเป็นพรรค์พรื้อ? ++ แต่วันนี้. ผมสืบค้นพบเรื่องหนึ่งแล้ว...ผมขอเล่าให้ฟังนะครับ...
๑. การเสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษนั้น เสด็จในกรมหลวงราชบุรีเสด็จถึงสถานทูตสยามที่กรุงปารีส เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๒๘. พระองค์และพระเจ้าพี่พระเจ้าน้องรวมสี่พระองค์ประทับที่สถานทูตแห่งนั้น ๕ วัน ระหว่างที่อยู่ปารีส พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ราชทูตถวายการต้อนรับ และ " ถ่ายรูปกรุปพร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอทั้งสี่พระองค์" หลังจากนั้นเสด็จในกรมหลวงราชบุรีและพระเจ้าลูกยาเธอได้เสด็จไปกรุงลอนดอน. "เสด็จต่อไปถึงกรุงลอนดอนโดยเรียบร้อย" เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๒๘ ที่กรุงลอนดอนพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์ประทับที่ " The Siamse Lecation 23 Ashburn Place London . S.W "
ในระหว่างเดือนสิงหาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๔๒๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ ถี่มาก ถึงสามครั้ง เรียกว่าเดือนละครั้ง. ส่วนพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่ การที่ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ต่างประเทศดังกล่าว ก็ประดุจว่าได้ทรงเห็นโลกกว้าง เพราะได้ทอดพระเนตรความเจริญทุกด้านของกรุงลอนดอน. แต่ด้วยความที่ยังทรงพระเยาว์อยู่มาก หลายคราวจึงทรงพระกรรแสง ดังความในหนังสือของเจ้าพระยายมราชที่มีมากราบทูลสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงษ์วโรปการ องค์เสนาบดีกรมท่า ที่ว่า
" ...๒๗ NOVEMBER ๑๘๘๕ ...วัน ๔ ฯ (๘) ๑๐ ค่ำ ท่านราชทูตพาพระเจ้าลูกเธอไปทอดพระเนตรโรงเอศบิเชน ข้าพระพุทธเจ้ากับนายรองทรงตามเสด็จ ...วัน ๖ ฯ (๑๐) ๑๒ ค่ำ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิทรงอักษรเมล์ ๔ ฉบับ กราบบังคมทูลพระกรุณาฉบับ ๑ ถวายสมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ ฉบับ ๑ ถวายพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชรญาณวโรรส ฉบับ ๑ ถึงคุณจอมมารดา ฉบับ ๑ ....
ณ วัน ๒ ฯ (๑๓) ๑๐ ค่ำ พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ได้รับพระราชทานพระราชหัตถเลขา ครั้งที่ ๓ องค์ละฉบับ กับหนังสือคุณจอมมารดาองค์ละฉบับ เมื่อพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิทรงอ่านอยู่น้ัน ได้ทรงทราบว่า คุณขรัวยายถึงแก่กรรม ก็ทรงพระกรรแสง....
ณ วัน ๒ ฯ (๕) ๑๐ ค่ำ ท่านราชทูตภาพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ไปส่งสกูล นายเปลี่ยนกัปตันตามเสด็จไปด้วย เมื่อท่านราชทูตจะเสด็จกลับนั้นก็ดีอยู่ มิได้ทรงกรรแสง ครั้นเวลากลางคืนก็ทรงกรรแสงท้ังสองพระองค์ ด้วยเคยทรงเล่นอยู่ที่เลเคเช่นมีคนไทยอยู่ด้วย เสด็จไปอยู่กับฝรั่งก็เป็นที่เปลี่ยวพระไทยไป...ครูผู้หญิงสอนเวลาเช้า ครูผู้ชายสอนเวลาบ่าย ...เวลาน้ันพึ่งจะเสด็จไปอยู่ใหม่ๆ ทรงกรรแสงอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าจะทูลลา พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดชใส่กุญแจห้องเสียไม่ให้ข้าพระพุทธเจ้ามา.
ณ วัน ๗ ฯ (๑๐) ๑๐ ค่ำ ท่านราชทูตรับสั่งให่หม่อมไปรับเสด็จมาเลเคเช่น ค้างอยู่ ๑ คืน แล้วท่านราชทูตรับส่ังว่า อย่าทรงกรรแสงเลย สองวิกจะรับมาเลเคเช่นครั้ง ๑ ....วัน ๗ ฯ (๘) ๑๑ ค่ำ พระบาทของพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ โดนมุมเตียงเหลกเปนรอยขีดหน่อยหน่ึง เวลากลางคืนปวดพระบาทที่เป็นแผลนั้น ปากแผลบวม คร้ัน ๕ ทุ่ม ค่อยหายปวด แล้วก็บรรทมหลับ..."
ในการเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นั้น. ผมทำใจอยู่เสมอว่า โอกาสที่จะเขียนผิดพลาดมีความเป็นไปได้สูง. เรื่องการศึกษาของพระบิดาแห่งกฎหมายไทยก็เช่นกัน ผมเคยกล่าวไว้ในหนังสือที่ผมเรียบเรียงว่า. ทรงสอบผ่านแล้ว Christchurch College ; Oxford University เห็นว่าทรงพระเยาว์ จึงไม่รับเข้าเรียน พระองค์ต้องสอบอีกครั้งหนึ่ง. (ข้อมูลนั้นได้มาจากการสัมภาษณ์). แต่เมื่อผมได้ค้นคว้าจากเอกสารต้นฉบับที่ส่งมาจากประเทศอังกฤษแล้ว. ผมพบความจริงว่าคลาดเคลื่อนอยู่ ผมอยากจะบันทึกเป็นข้อมูลใหม่ไว้ว่า ..." ครั้งแรกหลาย College ไม่รับเข้าสอบเพราะเห็นว่าอายุยังน้อย พระองค์ทรงเสียพระทัยมาก แต่ก็ได้พยายามติดต่อขอเข้าสอบไปทาง Christchurth อีกวิทยาลัยหนึ่ง วิทยาลัยนี้ยอมให้เข้าสอบ ผลการสอบปรากฏว่า ทรงสอบได้ แต่ยังไม่ได้เรียนทันที มีข้อขัดข้องเรื่องอายุน้อย ต้องรออีกประมาณ ๖ เดือนจึงได้ทรงเข้าเรียน."
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
๔. ศาลฎีกา ; ค้นหาความรู้จากหนังสืองานศพ
๔. ศาลฎีกา ; ค้นหาความรู้จากหนังสืองานศพ
" ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "........โดย นิกร ทัสสโร.....
ในขณะนี้ ผู้ที่สนใจค้นหาความจริงบางอย่างที่เกี่ยวกับศาลฎีกา สามารถสืบค้นได้หลายช่องทาง. แต่มีช่องทางหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก นั่นคือ การสืบค้นจากหนังสืองานศพ. แน่นอนเลยครับ สิ่งแรกและสำคัญอย่างยิ่งที่ท่านควรปฏิบัติเมื่อตัดสินใจสืบค้นจากหนังสือประเภทนี้. คือต้องอ่านในเวลากลางวัน. ผมสนใจสืบค้นเรื่องศาลฎีกาจากหนังสืองานศพ ก็ด้วยข้อสงสัยอยู่หลายเรื่องด้วยกัน เช่น หนึ่ง. เรื่องแรกนั้นคือ ผมสงสัยว่า ข้อที่ว่า การก่อสร้างศาลฎีกา ตามแบบของกระทรวงยุติธรรมสวิตเซอร์แลนด์นั้น เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด...หรือ ความสามารถทั้งหมดในการรังสรรค์ แบบแปลนของการก่อสร้างอาคารศาลฎีกามาจากสติปัญญาของยอดคนด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่มีชื่อว่า .."พระสาโรชรัตนนิมมานก์" หรือมีผู้อื่นร่วมรังสรรค์งานชิ้นนี้ด้วย ...สอง. จะเรียกว่าเป็นข้อสงสัยก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้อยากอ่านหนังสืองานศพบางเล่มดีกว่า เพราะในระหว่างการรื้อถอนและก่อสร้างศาลฎีกาอยู่ขณะนี้ คนงานและผู้ที่ทำงานในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ได้.."เห็น" ...เห็นชายใส่สูทช่วงใกล้ค่ำ ที่ว่า "เห็น" นั้นไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ ...ต่างครั้งต่างคราวกันต่างคนต่างเห็น สามถึงสี่ครั้งแล้ว ...+++...และครั้งหนึ่งผู้ที่ปรากฏให้เห็นได้ "ถาม" ออกมาด้วย...ซึ่งผู้ที่ถูกถามนั้นขณะนี้ขอลางานแล้ว.เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ เคยมีการบันทึกไว้ในหนังสืองานศพเล่มใดบ้าง ...สาม มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับศาลฎีกา ห้องทำงานในศาลฎีกา หรือภูมิสถานศาลฎีกา หรือแผ่นที่บริเวณศาลนี้ไว้ ...สี่ มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องผู้พิพากษาศาลฎีกาไว้..ทุกๆเรื่องอันเป็นตัวอย่างที่ผมกล่าวถึง น่าสนใจสืบค้นทั้งสิ้นครับ.
ขอเริ่มต้นที่หนังสืองานศพที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร หรือตัวอาคารศาลก่อนนะครับ. หนังสืองานศพที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลฎีกา. มีอยู่หลายเล่ม เท่าที่ผมได้อ่านมา ก็มี ๑. หนังสืองานศพของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร ๒. หนังสืองานศพของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ ต่อไปเล่มที่ ๓. หนังสืองานศพของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และที่ ๔. หนังสืองานศพของหลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์...หนังสืองานศพในแต่ละเล่มให้ข้อมูลเรื่องแบบแปลนของอาคารศาลฎีกาและเรื่องราวโครงการก่อสร้างอาคารศาลไว้อย่างมาก. มากพอที่เมื่อนำมาเรียงต่อเข้าด้วยกันแล้ว ก็จะได้เป็นภาพที่คมชัดและเป็นความรู้ที่ดียิ่ง. แต่หากว่าท่านผู้ใดอ่านหลายรอบแล้ว ยังไม่ชัดอีก ผมก็ขอแนะนำให้ท่านไปที่บริเวณที่ก่อสร้างศาลฎีกาในช่วงใกล้ๆ ค่ำ. แล้วจะมีผู้มาบอกท่านเอง แต่ท่านต้องตั้งใจฟังให้ดี เพราะเวลานั้นจะมีเสียงสุนัขหลายตัวหอนรับ.
เมื่อได้อ่านหนังสืองานศพดังกล่าวแล้ว. ทำให้ทราบว่า การก่อสร้างอาคารศาลฎีกาโดยใช้แบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือแบบ Modern นั้น เริ่มขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗โดยพระองค์ทรงเป็นประธานการประชุม. โครงการก่อสร้างครั้งนั้น เริ่มจากเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศรได้ขอให้ช่างฝรั่งที่ชื่อ ชาร์ล แบเกอแลง ออกแบบอาคารศาลให้ ต่อมาล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ได้ทรงเป็นประธานการประชุมเกี่ยวกับเรื่องแบบอาคารศาล และที่ประชุมนั้นเห็นชอบให้การก่อสร้างศาลใช้แบบโมเดิร์น. โครงการนี้ต้องระงับไปเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี ๒๔๗๕ .
อย่างไรก็ตาม ครั้นถึงยุคที่ได้มีการก่อสร้างจริงๆ ในปี ๒๔๘๒ พระสาโรชรัตนนิมมานก์ ก็ดำเนินแนวทางการก่อสร้างแบบเดิม ที่เรียกว่า "แบบสมัยใหม่" ซึ่งก็คือ Modern ยอดนายช่างท่านนี้ ออกแบบการก่อสร้าง โดยใช้ซีเมนต์มีแกนเหล็กเป็นส่วนสำคัญ และเสริมความสวยงามของอาคารโดยใช้กระจก และที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ ระบบการก่อสร้างฐานราก ที่ไม่มีการใช้เสาเข็ม...งง!..งง! งงไปทั้งบางกอก ถึง ปากบางเชิงแส ใช่มั้ยครับ? ... อาคารซีเมนต์แกนเหล็กที่ไม่ใช้เสาเข็ม. แล้วฐานรากใช้อะไรรองรับ ดินกรุงเทพฯ โคลนทั้งนั้น...ใช้อะไรเป็นรากเป็นฐาน? ...โบราณน่ะ ท่านใช้ไม้ซุงทั้งต้น แต่คุณพระสาโรชฯ ท่านไม่ใช้เสาเข็ม...คำตอบเป็นอย่างนี้ครับ..ระบบวิศวกรรมของคุณพระสาโรชนั้นท่านใช้การลอยตัวที่เรียกว่า " Buoyancy " หรือ " Floating foundation " คือ ออกแบบอาคารโดยให้น้ำและโคลนใต้ดินเป็นแรงพยุงฐานราก ทำให้อาคารลอยตัวอยู่ได้. ฐานรากดังกล่าวนั้นเป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาด ๖ x ๖ เมตร ติดกันเป็นแพลอยอยู่ใต้ดินรับอาคารข้างบน.ใต้บ่อซีเมนต์นี้ มีเข็มไม้ขนาดเล็กยาวประมาณสามเมตรแผ่ห่างๆ เป็นระยะรับคานของบ่อไว้. นับว่าเป็นระบบวิศวกรรมใหม่สุดในยุคนั้น แปลกต่างจากสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ใช้ไม้ซุงเป็นเสาเข็ม หรือเป็นฐานรองรับอาคาร./
" ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "........โดย นิกร ทัสสโร.....
ในขณะนี้ ผู้ที่สนใจค้นหาความจริงบางอย่างที่เกี่ยวกับศาลฎีกา สามารถสืบค้นได้หลายช่องทาง. แต่มีช่องทางหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก นั่นคือ การสืบค้นจากหนังสืองานศพ. แน่นอนเลยครับ สิ่งแรกและสำคัญอย่างยิ่งที่ท่านควรปฏิบัติเมื่อตัดสินใจสืบค้นจากหนังสือประเภทนี้. คือต้องอ่านในเวลากลางวัน. ผมสนใจสืบค้นเรื่องศาลฎีกาจากหนังสืองานศพ ก็ด้วยข้อสงสัยอยู่หลายเรื่องด้วยกัน เช่น หนึ่ง. เรื่องแรกนั้นคือ ผมสงสัยว่า ข้อที่ว่า การก่อสร้างศาลฎีกา ตามแบบของกระทรวงยุติธรรมสวิตเซอร์แลนด์นั้น เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด...หรือ ความสามารถทั้งหมดในการรังสรรค์ แบบแปลนของการก่อสร้างอาคารศาลฎีกามาจากสติปัญญาของยอดคนด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่มีชื่อว่า .."พระสาโรชรัตนนิมมานก์" หรือมีผู้อื่นร่วมรังสรรค์งานชิ้นนี้ด้วย ...สอง. จะเรียกว่าเป็นข้อสงสัยก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้อยากอ่านหนังสืองานศพบางเล่มดีกว่า เพราะในระหว่างการรื้อถอนและก่อสร้างศาลฎีกาอยู่ขณะนี้ คนงานและผู้ที่ทำงานในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ได้.."เห็น" ...เห็นชายใส่สูทช่วงใกล้ค่ำ ที่ว่า "เห็น" นั้นไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ ...ต่างครั้งต่างคราวกันต่างคนต่างเห็น สามถึงสี่ครั้งแล้ว ...+++...และครั้งหนึ่งผู้ที่ปรากฏให้เห็นได้ "ถาม" ออกมาด้วย...ซึ่งผู้ที่ถูกถามนั้นขณะนี้ขอลางานแล้ว.เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ เคยมีการบันทึกไว้ในหนังสืองานศพเล่มใดบ้าง ...สาม มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับศาลฎีกา ห้องทำงานในศาลฎีกา หรือภูมิสถานศาลฎีกา หรือแผ่นที่บริเวณศาลนี้ไว้ ...สี่ มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องผู้พิพากษาศาลฎีกาไว้..ทุกๆเรื่องอันเป็นตัวอย่างที่ผมกล่าวถึง น่าสนใจสืบค้นทั้งสิ้นครับ.
ขอเริ่มต้นที่หนังสืองานศพที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร หรือตัวอาคารศาลก่อนนะครับ. หนังสืองานศพที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลฎีกา. มีอยู่หลายเล่ม เท่าที่ผมได้อ่านมา ก็มี ๑. หนังสืองานศพของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร ๒. หนังสืองานศพของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ ต่อไปเล่มที่ ๓. หนังสืองานศพของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และที่ ๔. หนังสืองานศพของหลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์...หนังสืองานศพในแต่ละเล่มให้ข้อมูลเรื่องแบบแปลนของอาคารศาลฎีกาและเรื่องราวโครงการก่อสร้างอาคารศาลไว้อย่างมาก. มากพอที่เมื่อนำมาเรียงต่อเข้าด้วยกันแล้ว ก็จะได้เป็นภาพที่คมชัดและเป็นความรู้ที่ดียิ่ง. แต่หากว่าท่านผู้ใดอ่านหลายรอบแล้ว ยังไม่ชัดอีก ผมก็ขอแนะนำให้ท่านไปที่บริเวณที่ก่อสร้างศาลฎีกาในช่วงใกล้ๆ ค่ำ. แล้วจะมีผู้มาบอกท่านเอง แต่ท่านต้องตั้งใจฟังให้ดี เพราะเวลานั้นจะมีเสียงสุนัขหลายตัวหอนรับ.
เมื่อได้อ่านหนังสืองานศพดังกล่าวแล้ว. ทำให้ทราบว่า การก่อสร้างอาคารศาลฎีกาโดยใช้แบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือแบบ Modern นั้น เริ่มขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗โดยพระองค์ทรงเป็นประธานการประชุม. โครงการก่อสร้างครั้งนั้น เริ่มจากเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศรได้ขอให้ช่างฝรั่งที่ชื่อ ชาร์ล แบเกอแลง ออกแบบอาคารศาลให้ ต่อมาล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ได้ทรงเป็นประธานการประชุมเกี่ยวกับเรื่องแบบอาคารศาล และที่ประชุมนั้นเห็นชอบให้การก่อสร้างศาลใช้แบบโมเดิร์น. โครงการนี้ต้องระงับไปเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี ๒๔๗๕ .
อย่างไรก็ตาม ครั้นถึงยุคที่ได้มีการก่อสร้างจริงๆ ในปี ๒๔๘๒ พระสาโรชรัตนนิมมานก์ ก็ดำเนินแนวทางการก่อสร้างแบบเดิม ที่เรียกว่า "แบบสมัยใหม่" ซึ่งก็คือ Modern ยอดนายช่างท่านนี้ ออกแบบการก่อสร้าง โดยใช้ซีเมนต์มีแกนเหล็กเป็นส่วนสำคัญ และเสริมความสวยงามของอาคารโดยใช้กระจก และที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ ระบบการก่อสร้างฐานราก ที่ไม่มีการใช้เสาเข็ม...งง!..งง! งงไปทั้งบางกอก ถึง ปากบางเชิงแส ใช่มั้ยครับ? ... อาคารซีเมนต์แกนเหล็กที่ไม่ใช้เสาเข็ม. แล้วฐานรากใช้อะไรรองรับ ดินกรุงเทพฯ โคลนทั้งนั้น...ใช้อะไรเป็นรากเป็นฐาน? ...โบราณน่ะ ท่านใช้ไม้ซุงทั้งต้น แต่คุณพระสาโรชฯ ท่านไม่ใช้เสาเข็ม...คำตอบเป็นอย่างนี้ครับ..ระบบวิศวกรรมของคุณพระสาโรชนั้นท่านใช้การลอยตัวที่เรียกว่า " Buoyancy " หรือ " Floating foundation " คือ ออกแบบอาคารโดยให้น้ำและโคลนใต้ดินเป็นแรงพยุงฐานราก ทำให้อาคารลอยตัวอยู่ได้. ฐานรากดังกล่าวนั้นเป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาด ๖ x ๖ เมตร ติดกันเป็นแพลอยอยู่ใต้ดินรับอาคารข้างบน.ใต้บ่อซีเมนต์นี้ มีเข็มไม้ขนาดเล็กยาวประมาณสามเมตรแผ่ห่างๆ เป็นระยะรับคานของบ่อไว้. นับว่าเป็นระบบวิศวกรรมใหม่สุดในยุคนั้น แปลกต่างจากสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ใช้ไม้ซุงเป็นเสาเข็ม หรือเป็นฐานรองรับอาคาร./
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557
๓. เสาแห่งความดีที่ต้องจารึก
๓. เสาแห่งความดีที่ต้องจารึก
"ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ" ........โดย นิกร ทัสสโร.....
เมื่อมีการรื้อถอนอาคารศาลอุทธรณ์เดิมลงแล้วเสร็จ.ก่อนที่จะเริ่มการขุดเจาะพื้นที่เพื่อสร้างเสาเข็มต้นแรกของอาคารศาลฎีกา. ท่านอาจารย์ดิเรก อิงคนินันท์ ประธานคณะกรรมการก่อสร้าง ได้เห็นชอบให้จัดพิธีบวงสรวงขึ้น การกำหนดฤกษ์ผานาที...ไว้ที่ "สมโณแห่งฤกษ์" ของวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ก่อนถึงวันงานผมและคุณชูภัทรผู้จัดการโครงการบริษัทชิโนไทยฯ รวมถึงคุณมานะเจ้าของบริษัทที่ปรึกษา ต้องทำงานกันอย่างหนัก. ตั้งแต่คืนวันที่ ๒ มีนาคม เราทำงานถึงตี ๒ หลายคืน เพราะต้องพูดคุยกับผู้ค้าเป็นจำนวนมากที่ตั้งแผงค้าอยู่ที่ถนนหับเผย ซึ่งเป็นถนนที่รถบรรทุกเครื่องเจาะเสาเข็มจะนำเครื่องจักรเข้ามาทางเส้นทางนี้ เราต้องจ่ายเงินให้หัวหน้ากลุ่มผู้ค้าไปพอสมควร ทั้งที่ไม่ควรต้องจ่าย....บุคคลที่เราต้องจ่ายเงินให้ครั้งนี้ชื่อว่า ..." พัด " ...พัดเป็นผู้ดูแลแหล่งค้าที่เรียกว่า "ตลาดคลองหลอด" จุดที่ ๒ และจุดที่ ๓ พัดถือว่าเป็นมือขวาของ "เจ้าของตลาด" . จึงได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลพื้นที่สำคัญถึงสองบริเวณ บริเวณตลาดคลองหลอดจุดที่ ๒ ที่ผมกล่าวถึงนั้น คือ ฟุตบาทและริมถนนหน้าศาลฎีกา จุดนี้เก็บค่าแผงค้าในอัตราคืนละ ๓๐ บาท ต่อหนึ่งแผงค้า. ส่วนตลาดคลองหลอดจุดที่ ๓ เป็นบริเวณถนนหน้าหับเผยทั้งสาย จุดนี้พัดเก็บค่าแผงค้า ในอัตราคืนละ ๕๐ บาท ต่อหนึ่งแผงค้า รวมทั้งสองจุดมีผู้ค้าคืนละ ๓๕๐ ราย ทั้งนี้ สำหรับค่าไฟฟ้านอกหม้อ ก็มีการจัดเก็บต่างหากอีก คิดเป็นรายดวงไฟ ดวงละ ๒๐ บาท ต่อหนึ่งคืน. +++...ซึ่งเฉพาะค่าไฟฟ้าของหลวงที่ถูกต่อมาใช้ทั้งตลาด คำนวณแล้ว เจ้าของตลาดจะได้ค่าไฟ คืนละประมาณ ๑๘,๐๐๐ บาท เป็นอย่างต่ำ ซึ่งเท่ากับว่า รัฐต้องเสียรายได้ไปเดือนละ ๕๔๐,๐๐๐ บาท ...นี่คิดเพียงเดือนเดียว นะครับ.
เมื่อมั่นใจว่าเส้นทางถนนหน้าหับเผยทางที่จะใช้ลำเลียงอุปกรณ์สำหรับการเจาะเสาเข็มต้นแรกไม่มีปัญหาแล้ว. ผมจึงจัดซื้อเสาหินมาเพื่อใช้ในการทำพิธี. ที่ตำแหน่งเสาเข็นของอาคารต้นที่ ๙๙ วันทำพิธีมีท่านอาจารย์ไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน มีพระมหาราชครูเป็นผู้ทำพิธีบวงสรวง. ผมยกร่างคำบวงสรวงขึ้น ซึ่งมีเนื้อความตั้งแต่การขอพระแม่ธรณี สร้างศาลฎีกาเพื่อเป็นสถานที่ประสาทความยุติธรรมให้แก่ประชาชน. ขอเจ้านายเดิมฝ่ายวังหน้า เจ้าของพื้นที่เดิม ทั้งสิบเก้าพระองค์ อาทิ พระองค์เจ้าอินทปัต,พระองค์เจ้าลำดวน,พระองค์เจ้าก้อนแก้ว,พระองค์เจ้ากำภู, กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์,พระองค์เจ้าสาททิพากร. เป็นต้น. คือ เป็นการให้เสาหินที่ใช้บวงสรวงได้เป็นสัญลักษณ์บันทึกความดีของทุกท่านทั้งในกาลก่อนและปัจจุบัน.
วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557
๒. จากพระราชกิจ สู่ งานจิตรกรรม
๒. จากพระราชกิจ สู่ งานจิตรกรรม
"ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ" ...... โดย นิกร ทัสสโร......
จดหมายเหตุ "ศาลฎีกา" ...๒. "จากพระราชกิจ สู่ งานจิตรกรรม" . เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมาท่านรองศาสตราจารย์ ดร. ภิญโญ สุวรรณคีรี ราชบัณฑิต ศิลปินแห่งชาติ ได้นัดผมและคณะผู้ก่อสร้างศาลฎีกา ไปพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งที่จะประดิษฐานบุษบกสำริด ซึ่งเคยอยู่ที่ยอดอาคารศาลสถิตยยุติธรรมเดิม ว่า จะตั้งที่ศาลฎีกาใหม่นั้น จะอยู่ที่ตำแหน่งใด.ก็ประชุมกันจนใกล้ค่ำ เป็นอันว่าลงตัวแล้ว ว่าจะอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านทิศเหนือ ส่วนภาพประดับห้องโถงนี้จะเป็นภาพใด ข้อความใด ก็ลงตัวเช่นกัน ว่าที่โถงนี้มีภาพ ๔ ภาพ ครับ . เช่น ภาพแรกเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะที่ทรงพิพากษาคดี นี่คือภาพแรก...+++...ภาพที่ ๒ เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่เสด็จรับการทูลเกล้้าฯ ถวายฎีกาจากประชาชน ที่หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรค์...ภาพที่ ๓ เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่เสด็จทรงตรวจราชการศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๕ ...ทุกภาพที่ตั้งใจจะทำขึ้นมานั้น เป็นความตั้งใจจะทำขึ้นให้ได้ และเน้นที่พระราชกรณียกิจเกี่ยวแก่การศาลทั้งสิ้น ...เพราะเหตุใด?...และเกี่ยวพันถึงบุษบกข้างต้น กับช่างภาพหลวงที่ชื่อ "William Kennett Loftuss" ผู้ถ่ายภาพศาลสถิตยยุติธรรม อย่างไร ?...ขออธิบาย ดังนี้
การพระราชทานความยุติธรรมแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดีนั้น เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณกาล กล่าวเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์โปรดให้มีพระราชานุกิจทรงพิจารณาและพิพากษาคดีด้วยพระองค์เอง รัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้มีคดีสำคัญที่พระองค์ทรงพิพากษา และเป็นที่มาของการจัดประมวลกฎหมายตราสามดวงขึ้น. นั่นคือ คดีที่นายบุญสีช่างเหล็กหลวง กราบบังคมทูลเมื่อวันอังคารที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๓๔๘ และการพิพากษาคดีนั้น ถือว่าทรงประกอบพระราชกิจในฐานะที่ทรงเป็นองค์อมรินทราธิราช ทั้งหลักการที่ทรงนำมาใช้วางจิตให้เป็นจุตรัสก่อนตัดสิน ได้นำหลัก "อินทภาษ" มากำกับจิตมิให้เกิดอคติ ๔ ประการด้วยเหตุนี้...บุษบกที่ผมกล่าวถึง จึงแทน "อมรินทรและอินทภาษ"...ชั้นที่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ เสด็จฯทรงก่อพระฤกษ์ "ศาลหลวงที่สูงสุด " เมื่อปี ๒๔๒๕ พระองค์ก็ทรงกำหนดเส้นทางเสด็จว่า ..."การที่จะเสด็จพระราชดำเนินก่อพระฤกษ์นั้น ตั้งกระบวนจากพระที่นั่งอมรินทร...ด้วยเหตุแห่งความยุติธรรม เปนหลักแผ่นดิน"...+++...เมื่อทราบความสำคัญของบุษบกดังกล่าวแล้ว ท่านอาจารย์ภิญโญและผมจึงตกลงว่า ฐานของบุษบกนั้นจะสร้างเศียรของช้างเอราวัณรองรับไว้ เช่นที่บุษบกนี้เคยประดิษฐานอยู่บนหอสูงของศาลสถิตยยติธรรมเมื่อคราวครั้งรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ......++++....คราวนี้ก็สงสัยว่าภาพถ่าย,ภาพวาด ,และแบบแปลนของศาลต้นฉบับของอาคารศาลนั้น ยังมีอยู่หรือไม่? ก็ตอบว่ามีครับ คือ ภาพถ่ายนั้นขณะนี้อยู่ที่ต่างประเทศ เป็นภาพที่ถ่ายโดย Loftuss เห็นทั้งอาคารและหอนาฬิกาและบุษบกชัดเจน ส่วนภาพวาดนั้นตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ "The Graphic" เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ค.ศ. ๑๘๘๗ ภาพดังกล่าวผมซื้อมาเรียบร้อยแล้ว. ครับ...สำหรับการปั้นช้างเอราวัณเราได้กำหนดตัวบุคคลไว้แล้วเช่นกัน....!
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557
๑. ตราแผ่นดิน
๑. ตราแผ่นดิน
"ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ" .....โดย นิกร ทัสสโร .....
บันทึกนี้เป็นบันทึกส่วนตัวของผมที่เกี่ยวกับเรื่องของศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลที่ผมทำงานอยู่ ผมบันทึกในห้วงเวลาที่กำลังมีการก่อสร้างอาคารศาลฎีกาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ซึ่งผมจะแบ่งเนื้อหาเป็นบทๆ ไป เช่น ..."ตราแผ่นดิน" ,"ความเป็นตุลาการ", "งานในพระปรมาภิไธย","ยุคสมัยสถาปัตยกรรม", "จากพระราชกิจ สู่ งานจิตรกรรม" เป็นต้น...โดยเนื้อหาทั้งหมดนั้นมาจากข้อมูลการค้นคว้าของผม เพื่อใช้บรรยายหัวข้อ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางการศาล. รวมทั้งจากการสัมภาษณ์บรรพตุลาการที่เคยเป็นประธานศาลฎีกา และ ปลัดกระทรวงยุติธรรม. ที่สำคัญข้อมูลหลายส่วนมาจากการที่ผมได้เข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ เพราะเป็นผู้ร่วมอยู่ในคณะเจรจากับทุกฝ่ายทั้งวุฒิสภา กรมศิลปากร และองค์กรด้านสถาปัตยกรรม เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาหลายๆด้านในการก่อสร้างศาลฎีกาคราคราวนี้.,...ท่านผู้อ่านอาจจะแทบไม่น่าเช่ือระคนสงสัยนะครับว่า การที่ผมเป็นเด็กบ้านนอกลูกชายของชาวนาจากบ้านเชิงแส ริมทะเลสาบสงขลา ผมกลับได้มารับงานที่เกี่ยวกับเรื่องศาลฎีกา เป็นเพราะอะไร? จึงใคร่เรียนทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า ทั้งนี้เพราะผมมีครูที่เมตตาให้ความรู้แก่ตัวผมอย่างมาก ทำให้ผมได้มีความรู้พอที่จะชี้แจง อธิบายกับใครต่อใครเขาได้บ้าง ครูของผมท่านนั้นคือ "ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา" ที่มีบ้านเกิดตำบลติดกัน อำเภอเดียวกัน นั่นเป็นเหตุผลแรก.ส่วนเหตุผลที่สองคือเป็นเรื่องของ "ความบังเอิญ" ครับ. หลายเรื่องเป็นเรื่องความบังเอิญแห่งโชค ที่ทำให้ทำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เหลือเชื่อ อย่างแท้จริง. เช่น การลดความสูงของอาคารลงได้ถึงระดับที่มั่นใจ ว่าคนปกติน่าจะเห็นด้วย หรือการที่สามารถดำเนินการจนผู้ค้าริมคลองคูเมืองและรอบศาลฎีกา ๑๐๐๖ ราย ยินยอมย้ายออกไปทั้งหมด เมื่อเท่ียงคืนวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คืนนั้น ผมไปพูดคุยกับเหล่าแกนนำและแกนตามของกลุ่มผู้ค้าจนเกือบเท่ียงคืน ก่อนที่จะจบลงด้วยดีของทุกฝ่าย ผมบอกพวกเขาว่า สักวันหนึ่งผมจะไปเยี่ยมเขาที่ตลาดแห่งใหม่ที่ท่าดินแดง. แกนนำผู้ค้าขอให้ผมอย่ายินยอมให้ผู้ค้ารายใหม่เข้ามาขายแทนเขา ซึ่งผมก็รับปาก. อย่างไรก็ตามมีผู้ค้าบางกลุ่มแตกตัวออกไปเป็นอิสระมีแกนนำ ๓ คน เขาและเธอทั้งสามหวังไปพึ่งคนมีสีในราชการบางคน ผมจึงให้คนติดต่อเพื่อให้มาพูดคุยกับผมแล้ว......+++++.....เริ่ม " ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ " เร่ือง ตราแผ่นดิน กันดีกว่าครับ...
"ตราแผ่นดิน" .....+++...วันหนึ่งของเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ หลังจากที่ผมย้ายจากศาลจังหวัดอุทัยธานี มารับราชการที่ศาลฎีกาแล้ว ทำให้พอจะมีเวลาไปสืบค้นข้อมูลที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพฯ ในหมวด ร.ย.ราชเลขาธิการ และ หมวด ว. กระทรวงวัง หลายรัชสมัย. แล้วโชคก็เข้่าข้างผม ผมได้พบเอกสารสำคัญเกี่ยวกับตราแผ่นดินซึ่งศาลทุกศาลใช้เป็น "ตราประจำชาด" ประทับคำพิพากษา.เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ เนื่องจากในวันนั้น ผมต้องการสืบค้นเรื่องอื่น แต่ก็พบเรื่องสำคัญ ๒ เรื่อง คือ ตราแผ่นดินสำหรับศาล และ ประวัติของพระยาประชากิจกรจักร(แช่ม บุนนาค) ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกายุคก่อน ท่านเป็นทั้งนักกฎหมาย นักรบ และกวี ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "กวีแห่งสยาม" ประวัติของท่านนั้นท่านเขียนโดยลายมือของท่านเองนะครับ...แต่เนื้อหาบทนี้จะกล่าวถึงเฉพาะเรื่อง "ตราแผ่นดิน" ซึ่งในเอกสารที่ผมพบนั้น เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ ร.ศ. ๑๑๐ พ.ศ. ๒๔๓๕ คราวที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฏ์ องค์เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอรับพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับ "ดวงตรา" ที่จะใช้สำหรับประทับในคำพิพากษาของศาล เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์มีพระราชดำริว่า. หากในคำพิพากษาจะใช้ตราจันทรมณฑลประทับ ตรานั้นก็เป็นตราสำหรับเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม จึงโปรดให้ศาลใช้ตราอาร์มอันเป็นพระราชลัญจกร ตราแผ่นดิน เป็นดวงตราสำหรับประทับกำกับคำพิพากษา.,เอกสารชิ้นนี้ในความรู้สึกของผม นับว่าเป็นเอกสารที่สำคัญมาก เพราะเท่าที่สืบค้นมาก็น่าจะมีศาลนี่แหละที่มีเอกสารการได้รับพระบรมราชานุญาต เรื่องตราแผ่นดินนี้ ต่อมาในปี ๒๕๕๔ ผมพบเอกสารอีกฉบับหนึ่ง เป็นเอกสารเก่าของศาลเขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ร.ศ. ๑๑๒ เอกสารนี้เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการตั้งศาลเพื่อชำระคดี "พระยอดเมืองขวาง" การตั้งศาลครั้งนั้นเป็นลักษณะศาลผสมเนื่องจากฝรั่งเศสซึ่งทำตัวเป็นผู้แทรกแซงเข้ามาบังคับเอาดินแดนและให้เราตั้ง "MIX COURT" ในการตั้งศาลครั้งนั้นก็ขอพระราชทานดวงตราสำหรับใช้ในศาลเช่นกัน...เอกสารการตั้งศาลเพื่อพิจารณาคดีพระยอดเมืองขวาง เป็นเอกสารที่รอดพ้นจากการถูกทำลายอย่างหวุดหวิด คือ มีการขนไปวางไว้ที่เชิงบันไดและปิดป้าย "รอทำลาย" ไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อปี ๒๕๕๔.การคิดทำลายเอกสารของศาลคราวนั้นมาจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ แต่เมื่อในที่สุดยังเก็บรักษาไว้ได้ ก็ไม่ต้องมองไปข้างหลังว่าเป็นเพราะอะไร...มองกันไปข้างหน้าดีกว่า. และเมื่อผมเห็นเอกสารเหล่านั้นเข้า ผมจึงขอให้คุณนวลพรรณ ลายสังข์ เจ้าพนักงานศาลท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก นำข้อความไปปิดทับใหม่ว่า เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ศาลไทย ห้ามทำลาย และได้แจ้งให้ท่านอาจารย์เธียรทราบ ขณะนี้ปราชญ์จากสงขลาท่านนี้ได้หาเงินมาให้ดำเนินการรักษาเอกสารทั้งหมดประมาณหลายหมื่นแผ่นไว้ แล้วให้ผมติดต่อใครก็ได้ ดำเนินการขอข้อมูลเรื่องการฆ่าเชื้อเสียก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นจะได้จัดหมวดหมู่เอกสาร และประเมินคุณค่าในด้านต่างๆ กันต่อไป.,ตอนนี้ค่อยหายใจออกมาได้หน่อยหนึ่งเพราะเอกสารมีความปลอดภัยแล้ว.ผมติดต่อรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นข้าราชการระดับ ๑๐ ของกระทรวงวัฒนธรรมได้ และได้รับคำแนะนำช่องทางบางอย่างเรื่องการฆ่าเชื้อให้แล้ว...ขอเวลาอีกประมาณ ๑๕ วัน ผมจะนำภาพบางส่วนของเอกสารชุดนี้มาให้ชมกัน
"ตราแผ่นดิน" ที่ศาลได้รับพระราชทานจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ มีลักษณะอย่างไร?..ใครเป็นผู้สร้างถวาย?..+++..."ตราแผ่นดิน" ที่ศาลได้รับพระราชทานมานั้น มีลักษณะเป็น "ตราอาร์ม" .ส่วนประกอบหลัก มี เครื่องยอดเป็นพระมหาพิชัยมงกุฎเปล่งรัศมี ถัดมาด้านล่างเป็นโล่สามห้องบรรจุรูปช้างสามเศียร ห้องหนึ่ง . บรรจุช้างเผือกห้องหนึ่ง และบรรจุกริชไขว้อีกห้องหนึ่ง.ประคองข้างด้วยคชสีห์และราชสีห์. ส่วนประกอบอื่น มี ตราจักรี และเครื่องราชกกุฏภัฑณ์ และครุย .ตรานี้เริ่มใช้เมื่อปี ๒๔๑๖ ครับ ..+++...และตราแผ่นดินนี้ผูกเป็นตราประจำประเทศโดยเสวกเอก หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย โอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมสาย กรมขุนสีหวิกรม....../
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)