๑๖. ครูเธียร เจริญวัฒนา : ศาลฎีกา บันทึกจากความจำ
"ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"........................โดย นิกร ทัสสโร
บริเวณหัวนอนของผม.มีบันทึกฉบับหนึ่งจำนวนแม้จะบางเพียง ๙ หน้า ลายมือเขียน แต่ผมรู้สึกว่ามีคุณค่าเหลือเกิน.ผมกราบพระก่อนนอนก็ได้กราบบันทึกนี้ไปด้วย.บันทึกดังกล่าวนี้มีชื่อว่า "บันทึกความจำ เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลยุติธรรม และ ศาลฎีกา" ซึ่งท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา บรรพตุลาการชาวสงขลา อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมเขียนด้วยลายมือของท่าน และมอบให้ผมไว้.
บันทึกนี้เปี่ยมด้วยสาระและอรรถรสทางภาษาเป็นอย่างยิ่ง. หลายเรื่องครูได้เห็นและได้ยินมาด้วยตัวเอง. โดยเฉพาะถ้อยคำของท่านอาจารย์สัญญา ช่วงท้ายของบันทึกนี้ครูจึงเขียนไว้ว่า
"...โครงการก่อสร้างศาลฎีกาชะงักอยู่หลายครั้ง ข้าพเจ้าทอดอาลัยแล้ว คิดว่าเอาไว้สร้างในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ ๒๕๐ ปี ก็แล้วกัน เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงมาให้ก่อสร้างได้เร็วขึ้น และจะสำเร็จลงในเวลาอันใกล้นี้ ก็รู้สึกดีใจ และหากการก่อสร้างสำเร็จลง และดวงวิญญาณของท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ หยั่งรู้ได้ด้วยวิถีใดๆ ท่านคงจะปิติยินดีเป็นที่สุด..."
บันทึกของท่านอาจารย์เธียรทั้งหมดผมจะนำมาพิมพ์ไว้ในบทนี้ครับ. และโดยส่วนตัวของผมนั้นบันทึกของครูให้ทั้งความรู้ ให้ทั้งกำลังใจ และให้พลังแก่ผมในการทำงานการสร้างและแก้ไขปัญหาในการก่อสร้างศาลฎีกา. ซึ่งต้องกล่าวว่า การทำงานอย่างนี้มีทั้งความเสี่ยง และมีความขัดแย้งสูงอย่างยิ่งทั้งความขัดแย้งจากบุคคลนอกองค์กร และในองค์กรศาล. คนชอบนั้นมีไม่มากหรอก ส่วนใหญ่มีแต่คนไม่ชอบ.แต่สำหรับผมนั้นผมไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างศาลฎีกาเพราะผลประโยชน์. ดังนั้นการทำหน้าที่เพื่อแก้ไขปัญหาและข้อขัดข้องในการก่อสร้างศาลฎีกาจึงต้องดำเนินการอยู่ทุกวัน...กำลังใจ.และพลังจึงนับว่าสำคัญมาก เด็กวัดอย่างผมยืนหยัดอยู่ ๘ ปีแล้ว ก็ด้วยกำลังใจนี่แหละครับ ซึ่งกำลังใจที่อยู่ในระดับที่มากที่สุดอย่างหนึ่ง.. ก็คือจากครูเธียร เจริญวัฒนา.
บันทึกของครูเธียร เจริญวัฒนา มีคุณค่าและน่าอ่านอย่างไร...เป็นไปอย่างนี้ครับ.
" จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๓ ต่อจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ ปีต่อมาเมื่อถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒ ได้มีการกำหนดให้ วันที่ ๒๔ เป็น "วันชาติ" โอกาสนี้จำได้ว่าหลวงวิจิตรวาทการได้แต่งเพลงขึ้นเพลงหนึ่ง จำเนื้อได้กระท่อนกระแท่นว่า
ยี่สิบสี่มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์ ปฐมฤกษ์ของรัฐ ฐะธรรมนูญของไทย เริ่มระบอบแบบอา
รยะประชาธิปไตย ทั่วราษฎรไทย ได้สิทธิเสรี
(สร้อย) สำราญ สำเริง บันเทิง เต็มที่ เพราะชาติเรามี เอกราชสมบูรณ์.....
ที่ใช้ว่า เพราะชาติเรามีเอกราชสมบูรณ์นั้น เพราะแม้เราจะเป็นเอกราช ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก แต่ก็เป็นเอกราชที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเราเสียเอกราชทางการศาล ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นต้นมา คนไทยต้องชอกช้ำขมขื่นถึง ๘๓ ปี ต้องต่อสู้มาจนสำเร็จก็เมื่อเดือนมกราคม ๒๔๘๑ ในปี ๒๔๘๒ จึงมีการสร้างตึกกระทรวงยุติธรรมขึ้น เพื่อ "เป็นที่ระลึกถึงการได้มาซึ่งเอกราชทางการศาล ตึกแรกสร้างเสร็จ และเปิดเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อมาเป็นการก่อสร้างตึกที่สองริมคลองคูเมือง และเสร็จเปิดเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๖ ที่หน้ามุขอาคารที่สองนี้มีข้อความว่า "ศาลยุติธัม"
ศาลยุติธัม. เป็นอาคารสามชั้น ชั้นที่ ๑ และที่ ๒ เป็นที่ทำการศาลอาญา ชั้นที่ ๓ ด้านทิศใต้ถนนน่าหับเผยเป็นที่ทำการของศาลอุทธรณ์ ด้านทิศเหนือเป็นที่ทำการศาลฎีกา
เนื่องจากศาลฎีกาอยู่ชั้นสาม จึงมีการพูดล้อเล่นกันว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกาไม่ต้องกำหนดเกษียณอายุ ท่านใดเดินขึ้นไปทำงานไม่ไหว ก็เกษียณได้เมื่อนั้น
การก่อสร้างอาคารศาลต้องชะงักถึง ๑๕ ปี เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพระยาอรรถการีนิพนธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จอมพลท่านเกรงใจและนับถือท่านเจ้าคุณพระยาอรรถการีมาก เรื่องราชการกระทรวงยุติธรรมท่านมอกหมายแก่ท่านเจ้าคุณทั้งสิ้น ด้วยประโยคที่ว่า " สุดแท้แต่ท่านเจ้าคุณ "
ท่านอาจารย์เธียร ยังบันทึกเล่าต่อไปว่า...
" ด้วยบารมีของท่านเจ้าคุณ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ศาลได้สร้างอาคารที่ทำการศาลในหัวเมืองเป็นจำนวนมาก ไม่น้อยกว่า ๒๐ ศาล สำหรับในกรุงเทพฯ ก็ได้มีการก่อสร้างศาลแพ่งและศาลฎีกา จึงลงมือรื้ออาคารศาลเดิมที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นที่ทำการศาลแพ่งอยู่ ข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่ศาลแพ่งก็ต้องย้ายไปทำงานที่ศาลพระราชอาญาเดิมที่เคยเป็นหอสัสดี เวลาสืบพยานที่ห้องพิจารณาชั้นบนพวกคนงานตอกเสาเข็มเสียงดัง ปัง ปัง ปัง สะเทือนมาถึงตึกที่นั่งสืบพยาน..."
"ความคิดที่จะสร้างศาลฎีกาให้สง่างามเป็นสัญญลักษณ์ของอำนาจตุลาการนั้น เป็นตำนานที่เล่าขานกันมาเกือบร้อยปีแล้วว่ามีอุปสรรค ขัดข้อง และมีเหตุขัดขวางเรื่อมา เหมือนมีอาถรรพ์ แม้เคยคิดที่จะสร้างให้เป็นปราสาทยุติธรรม หรือยุติธรรมปราสาท แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โครงการนี้จึงระงับไป"
ท่านอาจารย์บันทึกเล่าไว้ต่อไปว่า...
"ต่อมา ป๊ ๒๕๑๗ สมัยท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านกิตติ สีหนนท์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ข้าพเจ้าซึ่งขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงธนบุรี ได้รับคำสั่งให้ไปทำงานในตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้รับทราบเกี่ยวกับการสร้างศาลอยู่บ้าง"
ขอให้สังเกตนะครับ. สังเกตถึงความถ่อมตัวของปูชนียบุคคลอย่างครูเธียร ท่านใช้คำว่าท่านรับทราบ " อยู่บ้าง "
ท่านอาจารย์เธียรและบรรพตุลาการท่านมีลักษณะพิเศษอย่างนี้.ท่านอาจารย์โสภณ รัตนากร ก็เช่นเดียวกันครับ.ท่านจะไม่ค่อยพูดเล่าผลงานของท่าน.ผมในฐานะผู้เขียนจดหมายเหตุการก่อสร้างศาลฎีกาจึงต้องสืบค้นด้วยตัวเองอยู่หลายเรื่อง.ในบันทึกนี้ครูเธียรท่านเล่าไว้ต่อไปว่า
"เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔ ได้ย้ายศาลฎีกา และกระทรวงยุติธรรมไปอยู่ที่ตึกที่ทำการเก่าของกระทรวงธรรมการ.ย้ายโรงเรียนกฎหมายไปอยู่ที่ห้างแบดแมน ย้ายศาลพระราชอาญาไปอยู่ที่ตึเนติบัณฑิตยสภาและโรงเรียนกฎหมาย...ยังไม่มีโครงการสร้างศาลฎีกาเป็นเอกเทศ"
"ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ในสมัยท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๒ มีความคิดจะสร้างตึกเชื่อมระหว่างศาลอาญาและศาลแพ่งเข้าด้วยกัน ของบประมาณไป ๔๐ ล้านบาท ซึ่งตามค่าของเงินเวลานั้น ก็มากพอสมควร นายช่างทองจุล สิงหกุล ได้พูดเย้าข้าพเจ้าว่า การของบประมาณมากมายเช่นนี้ถ้าเป็นที่อื่นก็ต้องมีการชี้แจงรายละเอียดและมีแบบแปลนประกอบมากมาย แต่กระทรวงยุติธรรมมีหนังสือขอไปเพียง ๓ หน้ากระดาษ ก็ได้รับอนุมัติทันที" แหม..นายช่างก็..(อันนี้ท่านอาจารย์ไม่ได้เขียนนะครับ...คือ ผมเติมเอง)
Nikorn
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559
๑๕. St. Cloud Convalescent Home
๑๕. St. Cloud Convalescent Home
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"..................โดย นิกร ทัสสโร
ใกล้วันหยุดสงกรานต์แล้ว. ผมมักจะนำเอกสารเก่าๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การศาลไทย ที่เคยเก็บไว้มาอ่านทบทวน และค้นคว้าเพิ่มเติม โดยสอบถามหาความรู้เพิ่มเติมจาก ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร บ้าง, ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา บ้าง, ท่านอาจารย์สุรัช รัตนอุดม บ้าง, และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากราชสกุลรพีพัฒน์บ้าง.
ข้อมูลที่จะกล่าวถึงในบทนี้.เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่รักษาพระองค์ของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ในพระวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และ จากราชสกุลรพีพัฒน์.
เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วที่ผมเขียนหนังสือ "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" นั้น.ผมตั้งคำถามเพื่อตัวเองจะได้ค้นคว้าไว้หลายคำถาม.บางคำถามก็หาคำตอบในช่วงเวลาที่เขียนต้นฉบับได้.เช่น วังราชบุรีอยู่ที่ไหน?พระตำหนักของพระองค์เป็นอย่างไร? พระองค์ทรงพระะนิพนธ์ตำราไว้กี่เล่ม?...แต่ที่หาคำตอบยังไม่ได้ก็มี เช่น ชีวิตนักเรียนอังกฤษเมื่อทรงพระเยาว์. และพระวาระสุดท้ายที่ฝรั่งเศสเป็นอย่างไร? ซึ่งวันนี้ก็สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้แล้วพอสมควร.
จึงควรนำมากล่าวเล่ากันไว้เสียที่นี่.เพื่อจะได้แบ่งปันเรื่องราวของเจ้านายพระองค์ที่ทรงมีผลงานด้านการก่อสร้างศาลยุติธรรม.ในระดับที่กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานเงิน จำนวน สองล้านบาท เมื่อปี ร.ศ. ๑๒๒ เพื่อจะนำมาใช้ก่อสร้างอาคารศาลและกระทรวงยุติธรรม.
กลับมาที่ช่วงเวลาท้ายของพระชนม์ชีพที่ต่างแดน.ผมขอเริ่มจาก เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๖๑ พระอาการที่ทรงประชวรเริ่มมากขึ้น จนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๖๒ พระอาการอยู่ในระดับ "เกือบลุกนั่งไม่ได้แล้ว...ขอพระมหากรุณาธิคุณหยุดพักราชการ ๓ เดือน..." ต่อมาวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเขียนพินัยกรรม.โดยก่อนหน้านั้น ๑ เดือนพระองค์เตรียมการเสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ทรงจองเช่าโรงแรมที่สิงคโปร์เพื่อพักรอเปลี่ยนเรือ และทรงเตรียมเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาล.
คืนวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๖๓พระองค์ เสด็จโดยเรือกัวลา (kuala)ออกจากท่าเรือกรุงเทพฯมีเจ้านาย เจ้าพระยายมราช ข้าราชการ และลูกศิษย์ ส่งเสด็จ ขณะที่กล่าวลาเจ้าพระยายมราชครูของท่าน พระองค์รับสั่งว่า "บางครั้งครูอาจไม่ได้เห็นฉันอีก"...เสด็จถึงสิงคโปร์วันที่ ๒ พฤษภาคม ต่อมาทรงเปลี่ยนเรือโดยสารที่สิงคโปร์ เรือลำนี้ชื่อ "Andre Lebon"
การที่เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯ เสด็จไปรักษาพระองค์ครั้งนี้ มีนายแพทย์โรแบร์และครอบครัวตามเสด็จ.และมีหลวงชลหารพิจิตร ข้าราชการสังกัดกรมทดน้ำ ตามเสด็จด้วย.
เดือนมิถุนายนพระองค์และคณะถึงฝรั่งเศส.แล้วมุ่งสู่กรุงปารีสทันที.โดยเข้าประทับที่สถานทูตไทย จากนั้นวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลแพทย์ตรวจพบ..."tumorous large uleration on the right side of bladder" อันเป็นตำแหน่งแผลที่กระเพาะปัสสาวะ.
หลังจากนั้นพระองค์จะเสด็จไปพักรักษาที่ แซนาโตเรียม เดอ ตูเบอร์คูโลซีส ที่ไลแซง แต่พระอาการกลับทรุดลงจนน่าตกใจเนื่องจากเกิดหนองขึ้นที่ด้านในและด้านนอกกระเพาะปัสสาวะ. เงินที่ทรงเตรียมไปไม่เพียงพอแก่ค่ารักษา.
เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯจึงขอให้พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ โทรเลขแจ้งพระประสงค์จำนองวังราชบุรีเพื่อนำเงินเป็นค่ารักษา.พระองค์เจ้าจรูญฯทรงโทรเลขสอบถามมาทางกรุงเทพฯว่า "จะจ่ายเงินซึ่งจำเป็น สำหรับช่วยพระชนม์ไว้ ได้หรือไม่?".
เรื่องเงินค่ารักษาพยาบาลเสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯนี้.ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.พระองค์จึงมีพระราชกระแสให้สมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ และพระยามโนปกรณ์นิติธาดาทราบว่า ..."ฉันถวาย" สมเด็จฯ เสนาบดี จึงทรงมีพระโทรเลขตอบไปทางกรุงปารีสว่า..."ให้จัดการรักษาจนสุดกำลัง"
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๖๓ เสด็จในกรมหลวงราชบุรีทรงทราบก็ทรงมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ.จากนั้นจึงย้ายไปรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลที่ชื่่อว่า "St. Cloud Convalescent Home" ที่โรงพยาบาลนี้ได้มีหมอ Hepp เข้าร่วมให้การรักษาด้วย.
หลังจากนั้นเจ็ดวันคณะแพทย์ตรวจพบฝีที่บริเวณระหว่างไตไปถึงกระเพาะปัสสสาวะ.ต้องผ่าเจาะฝีและต้องตัดไต.เสด็จในกรมหลวงราชบุรีจึงให้โทรเลขแจ้งให้หม่อมและพระโอรสธิดาที่วังราชบุรีให้ทราบพระอาการที่หนักนี้.
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"..................โดย นิกร ทัสสโร
ใกล้วันหยุดสงกรานต์แล้ว. ผมมักจะนำเอกสารเก่าๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การศาลไทย ที่เคยเก็บไว้มาอ่านทบทวน และค้นคว้าเพิ่มเติม โดยสอบถามหาความรู้เพิ่มเติมจาก ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร บ้าง, ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา บ้าง, ท่านอาจารย์สุรัช รัตนอุดม บ้าง, และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากราชสกุลรพีพัฒน์บ้าง.
ข้อมูลที่จะกล่าวถึงในบทนี้.เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่รักษาพระองค์ของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ในพระวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และ จากราชสกุลรพีพัฒน์.
เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วที่ผมเขียนหนังสือ "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" นั้น.ผมตั้งคำถามเพื่อตัวเองจะได้ค้นคว้าไว้หลายคำถาม.บางคำถามก็หาคำตอบในช่วงเวลาที่เขียนต้นฉบับได้.เช่น วังราชบุรีอยู่ที่ไหน?พระตำหนักของพระองค์เป็นอย่างไร? พระองค์ทรงพระะนิพนธ์ตำราไว้กี่เล่ม?...แต่ที่หาคำตอบยังไม่ได้ก็มี เช่น ชีวิตนักเรียนอังกฤษเมื่อทรงพระเยาว์. และพระวาระสุดท้ายที่ฝรั่งเศสเป็นอย่างไร? ซึ่งวันนี้ก็สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้แล้วพอสมควร.
จึงควรนำมากล่าวเล่ากันไว้เสียที่นี่.เพื่อจะได้แบ่งปันเรื่องราวของเจ้านายพระองค์ที่ทรงมีผลงานด้านการก่อสร้างศาลยุติธรรม.ในระดับที่กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานเงิน จำนวน สองล้านบาท เมื่อปี ร.ศ. ๑๒๒ เพื่อจะนำมาใช้ก่อสร้างอาคารศาลและกระทรวงยุติธรรม.
กลับมาที่ช่วงเวลาท้ายของพระชนม์ชีพที่ต่างแดน.ผมขอเริ่มจาก เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๖๑ พระอาการที่ทรงประชวรเริ่มมากขึ้น จนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๖๒ พระอาการอยู่ในระดับ "เกือบลุกนั่งไม่ได้แล้ว...ขอพระมหากรุณาธิคุณหยุดพักราชการ ๓ เดือน..." ต่อมาวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเขียนพินัยกรรม.โดยก่อนหน้านั้น ๑ เดือนพระองค์เตรียมการเสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ทรงจองเช่าโรงแรมที่สิงคโปร์เพื่อพักรอเปลี่ยนเรือ และทรงเตรียมเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาล.
คืนวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๖๓พระองค์ เสด็จโดยเรือกัวลา (kuala)ออกจากท่าเรือกรุงเทพฯมีเจ้านาย เจ้าพระยายมราช ข้าราชการ และลูกศิษย์ ส่งเสด็จ ขณะที่กล่าวลาเจ้าพระยายมราชครูของท่าน พระองค์รับสั่งว่า "บางครั้งครูอาจไม่ได้เห็นฉันอีก"...เสด็จถึงสิงคโปร์วันที่ ๒ พฤษภาคม ต่อมาทรงเปลี่ยนเรือโดยสารที่สิงคโปร์ เรือลำนี้ชื่อ "Andre Lebon"
การที่เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯ เสด็จไปรักษาพระองค์ครั้งนี้ มีนายแพทย์โรแบร์และครอบครัวตามเสด็จ.และมีหลวงชลหารพิจิตร ข้าราชการสังกัดกรมทดน้ำ ตามเสด็จด้วย.
เดือนมิถุนายนพระองค์และคณะถึงฝรั่งเศส.แล้วมุ่งสู่กรุงปารีสทันที.โดยเข้าประทับที่สถานทูตไทย จากนั้นวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลแพทย์ตรวจพบ..."tumorous large uleration on the right side of bladder" อันเป็นตำแหน่งแผลที่กระเพาะปัสสาวะ.
หลังจากนั้นพระองค์จะเสด็จไปพักรักษาที่ แซนาโตเรียม เดอ ตูเบอร์คูโลซีส ที่ไลแซง แต่พระอาการกลับทรุดลงจนน่าตกใจเนื่องจากเกิดหนองขึ้นที่ด้านในและด้านนอกกระเพาะปัสสาวะ. เงินที่ทรงเตรียมไปไม่เพียงพอแก่ค่ารักษา.
เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯจึงขอให้พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ โทรเลขแจ้งพระประสงค์จำนองวังราชบุรีเพื่อนำเงินเป็นค่ารักษา.พระองค์เจ้าจรูญฯทรงโทรเลขสอบถามมาทางกรุงเทพฯว่า "จะจ่ายเงินซึ่งจำเป็น สำหรับช่วยพระชนม์ไว้ ได้หรือไม่?".
เรื่องเงินค่ารักษาพยาบาลเสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯนี้.ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.พระองค์จึงมีพระราชกระแสให้สมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ และพระยามโนปกรณ์นิติธาดาทราบว่า ..."ฉันถวาย" สมเด็จฯ เสนาบดี จึงทรงมีพระโทรเลขตอบไปทางกรุงปารีสว่า..."ให้จัดการรักษาจนสุดกำลัง"
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๖๓ เสด็จในกรมหลวงราชบุรีทรงทราบก็ทรงมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ.จากนั้นจึงย้ายไปรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลที่ชื่่อว่า "St. Cloud Convalescent Home" ที่โรงพยาบาลนี้ได้มีหมอ Hepp เข้าร่วมให้การรักษาด้วย.
หลังจากนั้นเจ็ดวันคณะแพทย์ตรวจพบฝีที่บริเวณระหว่างไตไปถึงกระเพาะปัสสสาวะ.ต้องผ่าเจาะฝีและต้องตัดไต.เสด็จในกรมหลวงราชบุรีจึงให้โทรเลขแจ้งให้หม่อมและพระโอรสธิดาที่วังราชบุรีให้ทราบพระอาการที่หนักนี้.
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559
๑๓. โสภณ รัตนากร : บรรพตุลาการ
๑๓. โสภณ รัตนากร : บรรพตุลาการ
" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ ".............โดย นิกร ทัสสโร
@ โส- ต. สดับความคู่ฟ้อง. สำแดง
ภณ. กล่าวสัตย์แถลง. แจ่มถ้อย
รัตน. หนึ่งควรแจง. บอกสู่. ชนเฮย
กร. ประคองศาลเกินร้อย. ค่อยได้พัฒนา
@. สถานศาลซึ่งตั้ง. รัชดา มาร์คสถล
ยากกว่ายากได้มา. ทั่วทั้ง
ปลัดกระทรวงหา. จวบที่
แขวงแพ่งอาญารั้ง. ร่วมรั้วอุทธรณ์.
@ ขณะที่ผมกำลังเขียนเรื่องนี้. วันนี้ได้กราบเรียนขออนุญาตถ่ายภาพท่านอาจารย์โสภณ รัตนากร. เพื่อที่ผมจะได้บันทึกผลงานของท่านอาจารย์ไว้ในจดหมายเหตุศาลฎีกา.
ผมเป็นลูกศิษย์ของอดีตประธานศาลฎีกาบรรพตุลาการท่านนี้ เมื่อผมเรียนกฎหมายชั้นปี ๓ ที่ธรรมศาตร์ เมื่อปี ๒๕๒๗. ท่านอาจารยโสภณสอนวิชา "กฎหมายลักษณะพยาน" โดยมีอาจารย์จากศาลร่วมสอนด้วยอีกสองท่าน คือ อาจารย์วิศิษฎ์. ลิมานนท์ และ อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล. เรานักศึกษาเรียนวิชานี้ที่ตึกข้างสนามฟุตบอล.
เมื่อผมเป็นผู้พิพากษาแล้วหลายปี. ผมมีโอกาสได้สนองพระคุณท่าน เมื่อท่านอายุ ๗๒ ปี มีการจัดทำหนังสือที่ระลึกตอบแทนพระคุณในความกตัญญูของเหล่าลูกศิษย์. ผมซึ่งเป็นศิษย์รุ่นเด็กๆ ได้รับมอบหมายให้เขียนบทความบทหนึ่งตีพิมพ์ในหนังสือนี้ บทความของผมชื่อ "หมายเหตุท้ายฎีกา ของพระบิดาแห่งกฎหมายไทย"
ครั้นครบวาระผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้ว. ปี ๒๕๕๒ ผมย้ายเข้ามาทำงานที่ศาลฎีกาในกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา. ได้มีโอกาสใกล้ชิดอาจารย์ในระยะห่างๆ จึงได้ฟังเรื่องต่างๆที่ท่านเล่าในทุกครั้งที่มีโอกาส. เช่น ในระหว่างทานข้าว. เป็นต้น.
เรื่องที่เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลฎีกานั้น.ดูเหมือนท่านอาจารย์โสภณเป็นห่วงอยู่มากที่เดียว. ท่านถึงกับกล่าวว่า " ...ควรจะไปพบเขาเสียเลย".
ท่านอาจารย์ท่านทำงานเด็ดเดี่ยวมาก.มีความเป็นผู้นำสูงยิ่ง.ขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นท่านแก้ไขทันที. เช่น เรื่องที่ดินบริเวณศาลที่ถนนรัชดาภิเษก ที่ดินแปลงนี้หากไม่มีท่านอาจารย์ก็คงไม่ได้สร้างศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลภาษีอากร สำนักงานศาลยุติธรรม และสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน....ถามจริงๆเถอะ ทุกวันนี้ทั้งผู้พิพากษา และข้าราชการศาล ที่เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ที่ศาลเหล่านี้ และในสำนักงานศาลยุติธรรม มีใครรับรู้ถึงผลงานการได้ที่ดินแปลงนี้บ้างหรือไม่?
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา. ผมทราบข่าวจากพี่สายัณห์เกี่ยวกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครเหนือบางคน ที่ทำตัว " กร่าง ". ถึงขนาดกับพูดว่า " บรรพตุลาการ แล้วไง? ". ก็รู้สึกอิดหนาระอาใจเสียจริงๆ เพราะคนอย่างนี้คิดว่าตัวเองใหญ่เสียเหลือเกิน. โดยไม่สำนึกสักนิดว่า ที่มีที่ดินให้ได้ยืนกร่างอยู่นั้น มาจากการกินบุญเก่าของบรรพตุลาการทั้งสิ้น.
การได้ที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษกมาใช้เป็นที่สร้างศาลสำคัญของประเทศ จำนวนมากมายหลายศาล. เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์โสภณเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม. เดิมตั้งใจว่าจะขอที่ดินฟากทิศตะวันออก แต่เมื่อท่านอาจารย์ไปติดต่อกับผู้ใหญ่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย.การรถไฟฯ ก็ได้ทราบข้อมูลจากการที่ผู้ใหญ่ของการรถไฟแนะนำว่า ยังมีที่ดินด้านฝั่งตะวันตกด้วย ที่นั้นเหมาะสมสร้างศาลมากกว่า และมีพื้นที่มากกว่าด้วย. ท่านอาจารย์จึงได้ขอที่ดินแปลงนี้จากการรถไฟมาสร้างศาล. ผมจึงควรบันทึกคุณงามความดีของท่านอาจารย์โสภณไว้. เผื่อว่าจะมีผู้พิพากษาในปัจจุบันนี้บ้าง ที่ยังมีความสนใจทราบความเป็นไปของประวัติที่ดินแปลงนี้.
กลับมาที่เรื่องสร้างศาลฎีกา. ใครที่สนใจในผลงานของท่านอาจารย์ ก็จะทราบว่ามีเอกสารที่เป็นอักษรหลักฐานเรื่องที่ท่านมีผลงานการก่อสร้างศาลฎีกา และเรื่องราวของท่าน กับ ความเป็นไปของการก่อสร้างศาลฎีกาอยู่มากทีเดียว แต่ ชิ้นที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง ในความเห็นของผม คือ บันทึกคำไว้อาลัย ใน หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพอาจารย์มนตรี ยอดปัญญา. ท่านใดสนใจสามารถหาอ่านได้นะครับ./
" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ ".............โดย นิกร ทัสสโร
@ โส- ต. สดับความคู่ฟ้อง. สำแดง
ภณ. กล่าวสัตย์แถลง. แจ่มถ้อย
รัตน. หนึ่งควรแจง. บอกสู่. ชนเฮย
กร. ประคองศาลเกินร้อย. ค่อยได้พัฒนา
@. สถานศาลซึ่งตั้ง. รัชดา มาร์คสถล
ยากกว่ายากได้มา. ทั่วทั้ง
ปลัดกระทรวงหา. จวบที่
แขวงแพ่งอาญารั้ง. ร่วมรั้วอุทธรณ์.
@ ขณะที่ผมกำลังเขียนเรื่องนี้. วันนี้ได้กราบเรียนขออนุญาตถ่ายภาพท่านอาจารย์โสภณ รัตนากร. เพื่อที่ผมจะได้บันทึกผลงานของท่านอาจารย์ไว้ในจดหมายเหตุศาลฎีกา.
ผมเป็นลูกศิษย์ของอดีตประธานศาลฎีกาบรรพตุลาการท่านนี้ เมื่อผมเรียนกฎหมายชั้นปี ๓ ที่ธรรมศาตร์ เมื่อปี ๒๕๒๗. ท่านอาจารยโสภณสอนวิชา "กฎหมายลักษณะพยาน" โดยมีอาจารย์จากศาลร่วมสอนด้วยอีกสองท่าน คือ อาจารย์วิศิษฎ์. ลิมานนท์ และ อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล. เรานักศึกษาเรียนวิชานี้ที่ตึกข้างสนามฟุตบอล.
เมื่อผมเป็นผู้พิพากษาแล้วหลายปี. ผมมีโอกาสได้สนองพระคุณท่าน เมื่อท่านอายุ ๗๒ ปี มีการจัดทำหนังสือที่ระลึกตอบแทนพระคุณในความกตัญญูของเหล่าลูกศิษย์. ผมซึ่งเป็นศิษย์รุ่นเด็กๆ ได้รับมอบหมายให้เขียนบทความบทหนึ่งตีพิมพ์ในหนังสือนี้ บทความของผมชื่อ "หมายเหตุท้ายฎีกา ของพระบิดาแห่งกฎหมายไทย"
ครั้นครบวาระผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้ว. ปี ๒๕๕๒ ผมย้ายเข้ามาทำงานที่ศาลฎีกาในกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา. ได้มีโอกาสใกล้ชิดอาจารย์ในระยะห่างๆ จึงได้ฟังเรื่องต่างๆที่ท่านเล่าในทุกครั้งที่มีโอกาส. เช่น ในระหว่างทานข้าว. เป็นต้น.
เรื่องที่เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลฎีกานั้น.ดูเหมือนท่านอาจารย์โสภณเป็นห่วงอยู่มากที่เดียว. ท่านถึงกับกล่าวว่า " ...ควรจะไปพบเขาเสียเลย".
ท่านอาจารย์ท่านทำงานเด็ดเดี่ยวมาก.มีความเป็นผู้นำสูงยิ่ง.ขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นท่านแก้ไขทันที. เช่น เรื่องที่ดินบริเวณศาลที่ถนนรัชดาภิเษก ที่ดินแปลงนี้หากไม่มีท่านอาจารย์ก็คงไม่ได้สร้างศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลภาษีอากร สำนักงานศาลยุติธรรม และสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน....ถามจริงๆเถอะ ทุกวันนี้ทั้งผู้พิพากษา และข้าราชการศาล ที่เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ที่ศาลเหล่านี้ และในสำนักงานศาลยุติธรรม มีใครรับรู้ถึงผลงานการได้ที่ดินแปลงนี้บ้างหรือไม่?
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา. ผมทราบข่าวจากพี่สายัณห์เกี่ยวกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครเหนือบางคน ที่ทำตัว " กร่าง ". ถึงขนาดกับพูดว่า " บรรพตุลาการ แล้วไง? ". ก็รู้สึกอิดหนาระอาใจเสียจริงๆ เพราะคนอย่างนี้คิดว่าตัวเองใหญ่เสียเหลือเกิน. โดยไม่สำนึกสักนิดว่า ที่มีที่ดินให้ได้ยืนกร่างอยู่นั้น มาจากการกินบุญเก่าของบรรพตุลาการทั้งสิ้น.
การได้ที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษกมาใช้เป็นที่สร้างศาลสำคัญของประเทศ จำนวนมากมายหลายศาล. เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ท่านอาจารย์โสภณเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม. เดิมตั้งใจว่าจะขอที่ดินฟากทิศตะวันออก แต่เมื่อท่านอาจารย์ไปติดต่อกับผู้ใหญ่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย.การรถไฟฯ ก็ได้ทราบข้อมูลจากการที่ผู้ใหญ่ของการรถไฟแนะนำว่า ยังมีที่ดินด้านฝั่งตะวันตกด้วย ที่นั้นเหมาะสมสร้างศาลมากกว่า และมีพื้นที่มากกว่าด้วย. ท่านอาจารย์จึงได้ขอที่ดินแปลงนี้จากการรถไฟมาสร้างศาล. ผมจึงควรบันทึกคุณงามความดีของท่านอาจารย์โสภณไว้. เผื่อว่าจะมีผู้พิพากษาในปัจจุบันนี้บ้าง ที่ยังมีความสนใจทราบความเป็นไปของประวัติที่ดินแปลงนี้.
กลับมาที่เรื่องสร้างศาลฎีกา. ใครที่สนใจในผลงานของท่านอาจารย์ ก็จะทราบว่ามีเอกสารที่เป็นอักษรหลักฐานเรื่องที่ท่านมีผลงานการก่อสร้างศาลฎีกา และเรื่องราวของท่าน กับ ความเป็นไปของการก่อสร้างศาลฎีกาอยู่มากทีเดียว แต่ ชิ้นที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง ในความเห็นของผม คือ บันทึกคำไว้อาลัย ใน หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพอาจารย์มนตรี ยอดปัญญา. ท่านใดสนใจสามารถหาอ่านได้นะครับ./
วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558
๑๑. มนตรี ยอดปัญญา : ตู้ฎีกาศาลยุติธรรม
๑๑. มนตรี ยอดปัญญา : ตู้ฎีกาศาลยุติธรรม
" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "....................โดย นิกร ทัสสโร
@ มน นามขานชื่อตู้ ฎีกา
ตรี กาลคำนึงมา เปรียบไว้
ยอด ชนต่างตรึงจา- รึกชื่อ
ปัญญา เด่นดุจได้ ดั่งเนื้อมณีศาล
@ คราวครายามท่านให้ ความเห็น
ชัดแจ่มแถลงประเด็น ที่ชี้
สถาป์ปัตย์ควรเป็น ตามที่ วาดแบบ
คงหนึ่งอาคารนี้ คู่ค้ำภูมิสถาน./
ผมให้ความเคารพและศรัทธาท่านอาจารย์มนตรีมากที่เดียวเป็นเพราะชื่อเสียงด้านความรู้ทางกฎหมายของท่านที่มีเป็นอย่างสูง. ในระดับที่ได้รับการยกย่องว่า เป็น " ตู้ฎีกาเคลื่อนที่ ". จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ผมรับราชการอยู่ที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี ๒๕๓๙ มีการประชุมสัมมนาผู้พิพากษาที่เกาะสมุย (สัมมนาจริงๆนะครับ ).ท่านอาจารย์วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผู้บรรยายกล่าวถึงอาจารย์มนตรีอย่างยกย่องว่ามีความจำดีเลิศ. และฉลาดเฉลียวมากทางกฎหมาย.
ครั้นถึงปี ๒๕๔๓ ผมย้ายเข้ามาเป็นผู้พิพากษาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้. ท่านอาจารย์มนตรีเป็นรองอธิบดี และดูแลบังคับบัญชา. ผมได้คำแนะนำจากท่านมากหลายประเด็น คราวหนึ่งผมติดปัญหาเรื่องกฎหมายหุ้นส่วน บริษัท.เพียงผมขอความรู้และพูดถึงปัญหายังไม่ทันจบคำถาม ท่านอาจารย์มนตรีก็ตอบได้ทันทีว่า " เรื่องนี้เป็นเรื่อง บริษัทร้าง "
ข้อกฎหมายเรื่องบริษัทร้างนี่นะครับ. นักกฎหมายเรียนมาก็แค่รู้.เพราะมีการใช้กันน้อยมาก แต่ท่านอาจารย์รู้ นับว่าเป็นผู้ยอดปัญญา สมนามสกุลจริงๆ.
เมื่อผมรับราชการที่ศาลฎีกา.ขณะนั้นท่านอาจารย์มนตรีเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จากนั้นก็เลื่อนเป็นรองประธานศาลฎีกา. ผมก็ได้ร่วมงานกับท่านอาจารย์มนตรีในคณะอนุกรรมการ กบศ. ชุดที่ชื่อว่า " คณะกรรมการอำนวยการและแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา " คณะนี้มีท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน เมื่อปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกาเริ่มมีมากขึ้น จนศาลต้องประชุมกันหลายครั้ง ท่านอาจารย์มนตรีได้ให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ทุกครั้ง. เช่น ให้ความเห็นเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ว่า หากการก่อสร้างไม่สามารถดำเนินการได้เพราะมีผู้คัดค้าน ศาลฎีกาก็ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายของใครก็ตาม เพราะการคัดค้านที่เกิดขึ้น นับเป็นเหตุสุดวิสัยของฝ่ายศาล.
" เหตุสุดวิสัย " เป็นคำในกฎหมายนะครับ ผู้ที่เชี่ยวชาญกฎหมายเรื่องสัญญา. จะทราบเรื่องนี้ แต่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้แค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับจริยธรรมและความมีจิตใจที่ยุติธรรมด้วย. คือ ใช้เหตุสุดวิสัยตะพึดตะพือ ไม่ได้
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๖ นาฬิกา .ผมได้เข้าพบท่านอาจารย์มนตรีที่ห้องรองประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นห้องทำงานของท่าน. ผมหารือท่านอาจารย์เรื่องปัญหาในการก่อสร้างศาลฎีกา.ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า " การที่แบบอาคารออกแบบเป็นทรงไทยนั้น ขอให้พวกเราเคารพผู้ออกแบบ เราต้องรู้ว่าท่านอาจารย์ภิญโญท่านเชี่ยวชาญแบบไทย เมื่อศาลขอให้ท่านออกแบบให้ ศาลต้องรู้ว่าแบบที่จะออกมานั้นต้องเป็นแบบไทย " แล้วท่านก็กล่าวเป็นภาษิตขึ้นว่า ตัวท่านอาจารย์นั้น " ยังไม่ถึงเวลา เดี๋ยวจะถูกหาว่าไม่เห็นน้ำก็รีบตัดกระบอก "
จากนั้นอาจารย์ก็นำผมไปหารือกับท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา ที่ห้องทำงานของท่านอาจารย์หม่อม.ระหว่างการหารือกันนั้น ผมได้สรุปเรื่องราวให้ท่านทั้งสองฟัง และประเมินสภาพการณ์ทั้งหมดให้ทราบ. ท้ายสุดท่านอาจารย์มนตรีและผมก็ลาอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ.ระหว่างนั้นท่านอาจารย์ก็พูดกับผมว่า... "ท่านนิกรไปกราบเรียนท่านประธานศาลฎีกาเถอะ ".
ขณะที่ท่านอาจารย์มนตรีดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา. ท่านอาจารย์เป็นห่วงเรื่องการสร้างศาลฎีกาอย่างยิ่ง. ปรากฏจากบันทึกของท่านอาจารย์โสภณที่ว่า.....
(เรื่องราวการก่อสร้างศาลฎีกาทั้งหมดผมบันทึกไว้ในเอกสารส่วนตัว จะนำมาเผยแพร่ไปเรื่อยๆ เป็นการเล่าเรื่องแบบบ้านๆ ของคนบ้านนอก ที่บังเอิญว่าได้มาทำงานนี้ เพื่อให้เห็นความดีของบรรพตุลาการทุกๆท่านในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกา... )./
" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "....................โดย นิกร ทัสสโร
@ มน นามขานชื่อตู้ ฎีกา
ตรี กาลคำนึงมา เปรียบไว้
ยอด ชนต่างตรึงจา- รึกชื่อ
ปัญญา เด่นดุจได้ ดั่งเนื้อมณีศาล
@ คราวครายามท่านให้ ความเห็น
ชัดแจ่มแถลงประเด็น ที่ชี้
สถาป์ปัตย์ควรเป็น ตามที่ วาดแบบ
คงหนึ่งอาคารนี้ คู่ค้ำภูมิสถาน./
ผมให้ความเคารพและศรัทธาท่านอาจารย์มนตรีมากที่เดียวเป็นเพราะชื่อเสียงด้านความรู้ทางกฎหมายของท่านที่มีเป็นอย่างสูง. ในระดับที่ได้รับการยกย่องว่า เป็น " ตู้ฎีกาเคลื่อนที่ ". จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ผมรับราชการอยู่ที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี ๒๕๓๙ มีการประชุมสัมมนาผู้พิพากษาที่เกาะสมุย (สัมมนาจริงๆนะครับ ).ท่านอาจารย์วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผู้บรรยายกล่าวถึงอาจารย์มนตรีอย่างยกย่องว่ามีความจำดีเลิศ. และฉลาดเฉลียวมากทางกฎหมาย.
ครั้นถึงปี ๒๕๔๓ ผมย้ายเข้ามาเป็นผู้พิพากษาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้. ท่านอาจารย์มนตรีเป็นรองอธิบดี และดูแลบังคับบัญชา. ผมได้คำแนะนำจากท่านมากหลายประเด็น คราวหนึ่งผมติดปัญหาเรื่องกฎหมายหุ้นส่วน บริษัท.เพียงผมขอความรู้และพูดถึงปัญหายังไม่ทันจบคำถาม ท่านอาจารย์มนตรีก็ตอบได้ทันทีว่า " เรื่องนี้เป็นเรื่อง บริษัทร้าง "
ข้อกฎหมายเรื่องบริษัทร้างนี่นะครับ. นักกฎหมายเรียนมาก็แค่รู้.เพราะมีการใช้กันน้อยมาก แต่ท่านอาจารย์รู้ นับว่าเป็นผู้ยอดปัญญา สมนามสกุลจริงๆ.
เมื่อผมรับราชการที่ศาลฎีกา.ขณะนั้นท่านอาจารย์มนตรีเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จากนั้นก็เลื่อนเป็นรองประธานศาลฎีกา. ผมก็ได้ร่วมงานกับท่านอาจารย์มนตรีในคณะอนุกรรมการ กบศ. ชุดที่ชื่อว่า " คณะกรรมการอำนวยการและแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา " คณะนี้มีท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน เมื่อปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกาเริ่มมีมากขึ้น จนศาลต้องประชุมกันหลายครั้ง ท่านอาจารย์มนตรีได้ให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ทุกครั้ง. เช่น ให้ความเห็นเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ว่า หากการก่อสร้างไม่สามารถดำเนินการได้เพราะมีผู้คัดค้าน ศาลฎีกาก็ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายของใครก็ตาม เพราะการคัดค้านที่เกิดขึ้น นับเป็นเหตุสุดวิสัยของฝ่ายศาล.
" เหตุสุดวิสัย " เป็นคำในกฎหมายนะครับ ผู้ที่เชี่ยวชาญกฎหมายเรื่องสัญญา. จะทราบเรื่องนี้ แต่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้แค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับจริยธรรมและความมีจิตใจที่ยุติธรรมด้วย. คือ ใช้เหตุสุดวิสัยตะพึดตะพือ ไม่ได้
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๖ นาฬิกา .ผมได้เข้าพบท่านอาจารย์มนตรีที่ห้องรองประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นห้องทำงานของท่าน. ผมหารือท่านอาจารย์เรื่องปัญหาในการก่อสร้างศาลฎีกา.ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า " การที่แบบอาคารออกแบบเป็นทรงไทยนั้น ขอให้พวกเราเคารพผู้ออกแบบ เราต้องรู้ว่าท่านอาจารย์ภิญโญท่านเชี่ยวชาญแบบไทย เมื่อศาลขอให้ท่านออกแบบให้ ศาลต้องรู้ว่าแบบที่จะออกมานั้นต้องเป็นแบบไทย " แล้วท่านก็กล่าวเป็นภาษิตขึ้นว่า ตัวท่านอาจารย์นั้น " ยังไม่ถึงเวลา เดี๋ยวจะถูกหาว่าไม่เห็นน้ำก็รีบตัดกระบอก "
จากนั้นอาจารย์ก็นำผมไปหารือกับท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา ที่ห้องทำงานของท่านอาจารย์หม่อม.ระหว่างการหารือกันนั้น ผมได้สรุปเรื่องราวให้ท่านทั้งสองฟัง และประเมินสภาพการณ์ทั้งหมดให้ทราบ. ท้ายสุดท่านอาจารย์มนตรีและผมก็ลาอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ.ระหว่างนั้นท่านอาจารย์ก็พูดกับผมว่า... "ท่านนิกรไปกราบเรียนท่านประธานศาลฎีกาเถอะ ".
ขณะที่ท่านอาจารย์มนตรีดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา. ท่านอาจารย์เป็นห่วงเรื่องการสร้างศาลฎีกาอย่างยิ่ง. ปรากฏจากบันทึกของท่านอาจารย์โสภณที่ว่า.....
(เรื่องราวการก่อสร้างศาลฎีกาทั้งหมดผมบันทึกไว้ในเอกสารส่วนตัว จะนำมาเผยแพร่ไปเรื่อยๆ เป็นการเล่าเรื่องแบบบ้านๆ ของคนบ้านนอก ที่บังเอิญว่าได้มาทำงานนี้ เพื่อให้เห็นความดีของบรรพตุลาการทุกๆท่านในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกา... )./
วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558
๑๐. กำพล ภู่สุดแสวง
๑๐. กำพล ภู่สุดแสวง
" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "................โดย นิกร ทัสสโร
@ กำพลเกียรติก่ำก้อง กำจาย
อุทิศใจแลกาย ช่วยแก้
ปัญหาจึ่งมลาย ลุล่วง
คุณค่าควรจารแล้ แต่ล้วนขานนาม.
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ที่ผ่านมา. ท่านอาจารย์กำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา. ได้เกษียณอายุราชการแล้ว เกียรติแห่งการทำงานในหน้าที่ของผู้พิพากษานั้น เป็นที่เลื่องชื่อในความดีและความสามารถ. ผมควรบันทึกความดีของท่านไว้ในข้อเขียนนี้ของผม เนื่องจากท่านกับผมได้ทำงานร่วมกัน ๒ งานสำคัญ. กล่าวคือ ได้ร่วมกันสอน "วิชาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางการศาล" ในหลักสูตรผู้ช่วยผู้พิพากษา. และอีกงานชิ้นหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา.
ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงท่านอาจารย์กำพลในงานสำคัญเรื่องที่ ๒ ครับ. เพราะถ้าไม่กล่าวถึงไว้ผมเกรงว่าอาจจะมีคนลืมความดีของท่านโดยประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง. เหมือนที่ขณะนี้เกือบทุกคนได้ลืมเสาหินสัญลักษณ์ในพิธีบวงสรวงการเจาะเสาเข็มต้นที่ ๙๙ อันเป็นเสาเข็มต้นแรกของอาคาร. ซึ่งพิธีดังกล่าวเป็นผลงานอุทโฆษของประธานศาลฎีกา ๒ ท่าน คือ ฯพณฯ ไพโรจน์ วายุภาพ และ ฯพณฯ ดิเรก อิงคนินันท์...เสาหินดังที่ว่านี้เคยพูดกันมั่นเหมาะว่า จะมีคำจารจารึกความดีของท่านทั้งสองและจะประดับไว้อย่างรู้คุณค่า ณ ตำแหน่งเสาศาลฎีกาบริเวณชั้น ๑ ด้านทิศตะวันออก ให้ตรงกับเสาเข็มต้นที่ ๙๙ ซึ่งเป็นรากฐานแรกในด้านวิศวกรรมของอาคาร. บัดนี้ ยังมีใครสนใจอยู่บ้าง หรือไม่ ? ผมไม่ทราบ แต่เสาหินยังคงวางนิ่งอยู่ และผมสนใจครับ
กลับมาที่ผลงานของท่านอาจารย์กำพล. ในการเสียสละอย่างสูงยิ่งเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคการก่อสร้างศาลฎีกากันดีกว่าครับ...ผมได้บันทึกเรื่องราวไว้อย่างละเอียด จึงขอนำมาถ่ายทอด ดังนี้.
ท่านอาจารย์กำพล ภู่สุดแสวง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในราชการศาล เช่น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุราฎร์ธานี อธิบดีผู้พิพากษา ภาค ๙ และมีตำแหน่งบริหารสุดท้ายที่ รองประธานศาลฎีกา หมดวาระผู้บริหารแล้วท่านก็เป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ระหว่างรับราชการท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้พิพากษาทั้งหลายเลือกให้ท่านเป็นกรรมการตุลาการอยู่หลายปีทีเดียว. ในการก่อสร้างศาลฎีกานั้นท่านเป็นกรรมการตรวจการจ้าง และเป็นอนุกรรมการอำนวยการก่อสร้างและแก้ไขปัญหาในการก่อสร้าง อนุกรรมการชุดนี้มี หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล เป็นประธานท่านแรก และขณะนี้ท่านวิรัช ชินวินิจกุล เป็นประธาน ส่วนผมนั้นเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ.
ปัญหาในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกานั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่แรกทีเดียว คือ เมื่อเริ่มขั้นตอนประกวดราคาก่อสร้าง. มีฝ่ายที่คัดค้านมากมายหลายฝ่าย และหลายรูปแบบ ทั้งค้านเป็นหนังสือ , จัดประชุมคัดค้าน ,และ ประท้วงคัดค้านที่หน้าศาลฎีกา. ท่านอาจารย์กำพลจึงเสียสละเป็นผู้เจรจากับฝ่ายผู้คัดค้านหลายครั้ง. ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาที่สำนักงานศาลยุติธรรม หรือเจรจาที่กระทรวงวัฒนธรรม แม้แต่การเจรจานอกสถานที่ราชการท่านก็ไป.มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าสถานที่ ท่านก็ควักเงินส่วนตัวจ่าย..
ในระหว่างการเจรจากับฝ่ายที่คัดค้านนั้น. วันหนึ่งของเดือนกันยายน ๒๕๕๓ ท่านอาจารย์และผมได้เข้าไปรับนโยบายที่สำคัญจากประธานศาลฎีกาในขณะนั้น คือ ท่านประธานศาลฎีกา ได้ให้นโยบายในการเจรจาว่า. "ให้ประนีประนอม". ดังนั้น ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ คณะของศาลที่นำโดยท่านวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และท่านอาจารย์กำพล รวมทั้งผมด้วย จึงได้ไปเจรจากับฝ่ายกระทรวงวัฒนธรรมที่ห้องทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ฝ่ายรัฐมนตรี ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ คือ รัฐมนตรีนิพิฏฐ อินทรสมบัติ และอธิบดีโสมสุดา ลีละวณิชย์ อธิบดีกรมศิลปากร.การเจรจาเริ่มเวลา ๑๔ นาฬิกา ศาลเราเป็นฝ่ายแจ้งให้คู่เจรจาทราบว่า "การก่อสร้างศาลฎีกา ศาลจะอนุรักษ์อาคารศาลยุติธรรมหลังพระรูปไว้ ๑ หลัง". ส่วนฝ่ายกรมศิลปากร เสนอ ขอออกแบบอาคารด้วย.หลังจากนั้น วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ กรมศิลปากรก็ส่งแบบสถาปัตยกรรมศาลฎีกาที่ฝ่ายตนออกแบบมายังศาลฎีกา. ( แบบดังกล่าวนี้ต่อมากรมศิลป์ไม่ติดใจ. จึงถือว่าไม่ประสงค์ให้มีการก่อสร้างตามแบบนั้นโดยปริยาย )...ในที่เจรจาท่านอาจารย์กำพลได้แถลงข้อมูลของศาลให้ฝ่ายคู่เจรจาทราบอย่างผู้รอบรู้ที่น่านับถือ และร่วมตัดสินใจให้กรมศิลปากรออกแบบอีกแบบหนึ่งด้วยเพื่อศาลจะได้พิจารณา นี่คือ คุณความดีของท่านอาจารย์กำพลในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายศาลครับ.ยังมีต่ออีกนะครับ.../
" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "................โดย นิกร ทัสสโร
@ กำพลเกียรติก่ำก้อง กำจาย
อุทิศใจแลกาย ช่วยแก้
ปัญหาจึ่งมลาย ลุล่วง
คุณค่าควรจารแล้ แต่ล้วนขานนาม.
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ที่ผ่านมา. ท่านอาจารย์กำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา. ได้เกษียณอายุราชการแล้ว เกียรติแห่งการทำงานในหน้าที่ของผู้พิพากษานั้น เป็นที่เลื่องชื่อในความดีและความสามารถ. ผมควรบันทึกความดีของท่านไว้ในข้อเขียนนี้ของผม เนื่องจากท่านกับผมได้ทำงานร่วมกัน ๒ งานสำคัญ. กล่าวคือ ได้ร่วมกันสอน "วิชาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางการศาล" ในหลักสูตรผู้ช่วยผู้พิพากษา. และอีกงานชิ้นหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา.
ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงท่านอาจารย์กำพลในงานสำคัญเรื่องที่ ๒ ครับ. เพราะถ้าไม่กล่าวถึงไว้ผมเกรงว่าอาจจะมีคนลืมความดีของท่านโดยประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง. เหมือนที่ขณะนี้เกือบทุกคนได้ลืมเสาหินสัญลักษณ์ในพิธีบวงสรวงการเจาะเสาเข็มต้นที่ ๙๙ อันเป็นเสาเข็มต้นแรกของอาคาร. ซึ่งพิธีดังกล่าวเป็นผลงานอุทโฆษของประธานศาลฎีกา ๒ ท่าน คือ ฯพณฯ ไพโรจน์ วายุภาพ และ ฯพณฯ ดิเรก อิงคนินันท์...เสาหินดังที่ว่านี้เคยพูดกันมั่นเหมาะว่า จะมีคำจารจารึกความดีของท่านทั้งสองและจะประดับไว้อย่างรู้คุณค่า ณ ตำแหน่งเสาศาลฎีกาบริเวณชั้น ๑ ด้านทิศตะวันออก ให้ตรงกับเสาเข็มต้นที่ ๙๙ ซึ่งเป็นรากฐานแรกในด้านวิศวกรรมของอาคาร. บัดนี้ ยังมีใครสนใจอยู่บ้าง หรือไม่ ? ผมไม่ทราบ แต่เสาหินยังคงวางนิ่งอยู่ และผมสนใจครับ
กลับมาที่ผลงานของท่านอาจารย์กำพล. ในการเสียสละอย่างสูงยิ่งเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคการก่อสร้างศาลฎีกากันดีกว่าครับ...ผมได้บันทึกเรื่องราวไว้อย่างละเอียด จึงขอนำมาถ่ายทอด ดังนี้.
ท่านอาจารย์กำพล ภู่สุดแสวง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในราชการศาล เช่น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุราฎร์ธานี อธิบดีผู้พิพากษา ภาค ๙ และมีตำแหน่งบริหารสุดท้ายที่ รองประธานศาลฎีกา หมดวาระผู้บริหารแล้วท่านก็เป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ระหว่างรับราชการท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้พิพากษาทั้งหลายเลือกให้ท่านเป็นกรรมการตุลาการอยู่หลายปีทีเดียว. ในการก่อสร้างศาลฎีกานั้นท่านเป็นกรรมการตรวจการจ้าง และเป็นอนุกรรมการอำนวยการก่อสร้างและแก้ไขปัญหาในการก่อสร้าง อนุกรรมการชุดนี้มี หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล เป็นประธานท่านแรก และขณะนี้ท่านวิรัช ชินวินิจกุล เป็นประธาน ส่วนผมนั้นเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ.
ปัญหาในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกานั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่แรกทีเดียว คือ เมื่อเริ่มขั้นตอนประกวดราคาก่อสร้าง. มีฝ่ายที่คัดค้านมากมายหลายฝ่าย และหลายรูปแบบ ทั้งค้านเป็นหนังสือ , จัดประชุมคัดค้าน ,และ ประท้วงคัดค้านที่หน้าศาลฎีกา. ท่านอาจารย์กำพลจึงเสียสละเป็นผู้เจรจากับฝ่ายผู้คัดค้านหลายครั้ง. ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาที่สำนักงานศาลยุติธรรม หรือเจรจาที่กระทรวงวัฒนธรรม แม้แต่การเจรจานอกสถานที่ราชการท่านก็ไป.มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าสถานที่ ท่านก็ควักเงินส่วนตัวจ่าย..
ในระหว่างการเจรจากับฝ่ายที่คัดค้านนั้น. วันหนึ่งของเดือนกันยายน ๒๕๕๓ ท่านอาจารย์และผมได้เข้าไปรับนโยบายที่สำคัญจากประธานศาลฎีกาในขณะนั้น คือ ท่านประธานศาลฎีกา ได้ให้นโยบายในการเจรจาว่า. "ให้ประนีประนอม". ดังนั้น ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ คณะของศาลที่นำโดยท่านวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และท่านอาจารย์กำพล รวมทั้งผมด้วย จึงได้ไปเจรจากับฝ่ายกระทรวงวัฒนธรรมที่ห้องทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ฝ่ายรัฐมนตรี ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ คือ รัฐมนตรีนิพิฏฐ อินทรสมบัติ และอธิบดีโสมสุดา ลีละวณิชย์ อธิบดีกรมศิลปากร.การเจรจาเริ่มเวลา ๑๔ นาฬิกา ศาลเราเป็นฝ่ายแจ้งให้คู่เจรจาทราบว่า "การก่อสร้างศาลฎีกา ศาลจะอนุรักษ์อาคารศาลยุติธรรมหลังพระรูปไว้ ๑ หลัง". ส่วนฝ่ายกรมศิลปากร เสนอ ขอออกแบบอาคารด้วย.หลังจากนั้น วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ กรมศิลปากรก็ส่งแบบสถาปัตยกรรมศาลฎีกาที่ฝ่ายตนออกแบบมายังศาลฎีกา. ( แบบดังกล่าวนี้ต่อมากรมศิลป์ไม่ติดใจ. จึงถือว่าไม่ประสงค์ให้มีการก่อสร้างตามแบบนั้นโดยปริยาย )...ในที่เจรจาท่านอาจารย์กำพลได้แถลงข้อมูลของศาลให้ฝ่ายคู่เจรจาทราบอย่างผู้รอบรู้ที่น่านับถือ และร่วมตัดสินใจให้กรมศิลปากรออกแบบอีกแบบหนึ่งด้วยเพื่อศาลจะได้พิจารณา นี่คือ คุณความดีของท่านอาจารย์กำพลในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายศาลครับ.ยังมีต่ออีกนะครับ.../
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558
๙. อัฏฏวิจารณ์ลิลิต
๙. อัฏฏวิจารณ์ลิลิต
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ".........โดย นิกร ทัสสโร
การที่ต้องทำหน้าที่เขียนหนังสือที่ระลึกในวันเปิดศาลฎีกานั้น. สำหรับบางท่านอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับตัวผม ผมยอมรับว่ายากที่สุดในชีวิต. เพราะต้องใช้ความรู้ เวลา และทุนรอน อย่างมากมาย. แต่ผมเป็นผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมซึ่งเป็นสถาบันสำคัญของชาติและทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของพระเจ้าอยู่หัว. จึงจำเป็นอยู่เองที่ผมและครอบครัวต้องเขียนหนังสือที่ระลึกของศาลฎีกาให้ได้.อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้ทราบว่า ในสถาบันศาลนั้น นอกจากจะมีผู้พิพากษาที่มีความรู้ มีความซื่อสัตย์ มีความสมถะอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว.ก็ยังมีผู้พิพากษาที่พอจะมีความสามารถทางด้านวรรณกรรมเช่นกัน.( ส่วนเมื่อเขียนต้นฉบับเสร็จแล้ว และสุดความสามารถของผมแล้ว สถาบันศาลยุติธรรมจะตีพิมพ์.หรือไม่? เป็นเรื่องนอกเหนือการตัดสินใจของผมครับ)
ความรู้ทางวรรณกรรมของผม. ไม่ได้มาจากตัวผมเอง แต่มาจากครูหลายท่านที่ท่านเมตตาสั่งสอนผม คือ ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร. ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา. พลตรี หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี จึงขอกล่าวไว้เพื่อระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ ณ ที่นี้
หนังสือที่ระลึกในการเปิดศาลฎีกาครั้งนี้. เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผมเขียนเกี่ยวกับของสูง. ผมจึงต้องพยายามเขียนเป็น "ลิลิต" ครับ. ผมตั้งชื่อว่า " ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์ลิลิต "
(ร่าย) @สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช สถาปนาถนครา ครา ธ ผ่านภิภพ ทีปไท้พระปรารภ มฆมานพบำเพ็ญ เป็นองค์อินทร์สักกะ ชำนะซึ่งกิเลส ในประเทศมคธ รินรสวัตตบทธรรม ท้าวดำริตริตรอง การผองตั้งแผ่นดิน โกสินทร์รัตน์นคร รอนราพย์ประชาสุข งำทุกข์ประชาไทย จึ่งอาศัยคติธรรม นำมาซึ่งธรรมศาสตร์ ปราศจากอคติ หลักวิธีอินทภาษ ปลาสแล้วในสี่เหตุ มูลอาเพทอาธรรม์ จะด่ำดื่มซึ่งสุข ประชาทุกขอบขัณฑ์ ราชันโปรดก่อตั้ง ณ ที่ศาลหลวงยั้ง ดั่งอัมรินทร์ นั่นแล
(โคลง ๔ ) ภูมินทร์ทรงก่อตั้ง บูรินทร์
รัตนโกสินทร์ ก่ำหล้า
คงคติคู่ธานินทร์ สืบแต่ บุราณเฮอ
กรุงก่อเกิดกรุงกล้า เกริกฟ้าเกรียงกรุง
คติการที่สร้าง กรุงไกร
องค์สักกะประทานชัย แน่วแท้
อัญเชิญจอมเทพใน ดุสิต
ประดิษฐ์นคราแล้ ดั่งเบื้องเมืองแมน
พระศรีรัตนล้ำ ดาราม
สถิตเสถียรนาม พระแก้ว
พุทธลัษณะงาม ยอดยิ่ง
มรกตมณีแผ้ว ผ่องพริ้มพิมพ์สมัย
หลักเมืองเกลาแต่งไม้ ชัยพฤกษ์
เมืองเหนี่ยวจิตชนตรึก แน่นแล้ว
หกเมษต่างรำลึก เมืองมิ่ง
เมืองมิ่งเปรียบเมืองแก้ว ดั่งฟ้ามาดิน
ศาสนสถิตไว้ ใจเมือง
ธรรมขันธ์วามวาวเรือง รุ่งโรจน์
สิกขาบทบรรเทือง สมณะ
ประหนึ่งแสงธรรมโชติ โปรดให้คายะนา
เจิดจรัสแจร่มจ้า ไพศุทธิ์
ปางเมื่อสมเด็จพุทธ ยอดฟ้า
โปรดก่อศาลหลวงรุด อรรถเร่ง
กระลาการเกียรติกล้า เกลื่องแกล้วสัตย์สิน
ลุสองสามสี่เจ็ดได้ เกิดคดี
นายช่างเหล็กบุญสี เรื่องรู้
พระเกษมปรับวจี สัตย์หย่า
ความฝ่ายถูกใช่ชู้ พ่ายแพ้กลความ
ปฐมเหตุดังกล่าวแล้ว เหตุประถม
พระผ่านพิภพบรม โปรดให้
ปราชญ์สิบเอ็ดบังคม รวมแต่ง
ประมวลกฎหมายไว้ ชื่อชั้นตราสาม
ตราสามดวงเล่มนี้ อินทภาษ
หัสสนัยประกาศ เวี่ยงไว้
ปรับความจ่งปราศ อคติ
ภยะโทสะไร้ ห่างสิ้นโลภหลง
การคดีแบบอย่างเบื้อง บาทบงสุ์
ความเที่ยงธรรมธำรง โอบเอื้อ
ประสิทธิ์ยุติธรรมทรง ศักดิ์ยิ่ง
ธรรมชูธรรมเชิดเชื้อ ก่อเกื้อยุติธรรม...
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ".........โดย นิกร ทัสสโร
การที่ต้องทำหน้าที่เขียนหนังสือที่ระลึกในวันเปิดศาลฎีกานั้น. สำหรับบางท่านอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับตัวผม ผมยอมรับว่ายากที่สุดในชีวิต. เพราะต้องใช้ความรู้ เวลา และทุนรอน อย่างมากมาย. แต่ผมเป็นผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมซึ่งเป็นสถาบันสำคัญของชาติและทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของพระเจ้าอยู่หัว. จึงจำเป็นอยู่เองที่ผมและครอบครัวต้องเขียนหนังสือที่ระลึกของศาลฎีกาให้ได้.อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้ทราบว่า ในสถาบันศาลนั้น นอกจากจะมีผู้พิพากษาที่มีความรู้ มีความซื่อสัตย์ มีความสมถะอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว.ก็ยังมีผู้พิพากษาที่พอจะมีความสามารถทางด้านวรรณกรรมเช่นกัน.( ส่วนเมื่อเขียนต้นฉบับเสร็จแล้ว และสุดความสามารถของผมแล้ว สถาบันศาลยุติธรรมจะตีพิมพ์.หรือไม่? เป็นเรื่องนอกเหนือการตัดสินใจของผมครับ)
ความรู้ทางวรรณกรรมของผม. ไม่ได้มาจากตัวผมเอง แต่มาจากครูหลายท่านที่ท่านเมตตาสั่งสอนผม คือ ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร. ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา. พลตรี หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี จึงขอกล่าวไว้เพื่อระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ ณ ที่นี้
หนังสือที่ระลึกในการเปิดศาลฎีกาครั้งนี้. เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผมเขียนเกี่ยวกับของสูง. ผมจึงต้องพยายามเขียนเป็น "ลิลิต" ครับ. ผมตั้งชื่อว่า " ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์ลิลิต "
(ร่าย) @สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช สถาปนาถนครา ครา ธ ผ่านภิภพ ทีปไท้พระปรารภ มฆมานพบำเพ็ญ เป็นองค์อินทร์สักกะ ชำนะซึ่งกิเลส ในประเทศมคธ รินรสวัตตบทธรรม ท้าวดำริตริตรอง การผองตั้งแผ่นดิน โกสินทร์รัตน์นคร รอนราพย์ประชาสุข งำทุกข์ประชาไทย จึ่งอาศัยคติธรรม นำมาซึ่งธรรมศาสตร์ ปราศจากอคติ หลักวิธีอินทภาษ ปลาสแล้วในสี่เหตุ มูลอาเพทอาธรรม์ จะด่ำดื่มซึ่งสุข ประชาทุกขอบขัณฑ์ ราชันโปรดก่อตั้ง ณ ที่ศาลหลวงยั้ง ดั่งอัมรินทร์ นั่นแล
(โคลง ๔ ) ภูมินทร์ทรงก่อตั้ง บูรินทร์
รัตนโกสินทร์ ก่ำหล้า
คงคติคู่ธานินทร์ สืบแต่ บุราณเฮอ
กรุงก่อเกิดกรุงกล้า เกริกฟ้าเกรียงกรุง
คติการที่สร้าง กรุงไกร
องค์สักกะประทานชัย แน่วแท้
อัญเชิญจอมเทพใน ดุสิต
ประดิษฐ์นคราแล้ ดั่งเบื้องเมืองแมน
พระศรีรัตนล้ำ ดาราม
สถิตเสถียรนาม พระแก้ว
พุทธลัษณะงาม ยอดยิ่ง
มรกตมณีแผ้ว ผ่องพริ้มพิมพ์สมัย
หลักเมืองเกลาแต่งไม้ ชัยพฤกษ์
เมืองเหนี่ยวจิตชนตรึก แน่นแล้ว
หกเมษต่างรำลึก เมืองมิ่ง
เมืองมิ่งเปรียบเมืองแก้ว ดั่งฟ้ามาดิน
ศาสนสถิตไว้ ใจเมือง
ธรรมขันธ์วามวาวเรือง รุ่งโรจน์
สิกขาบทบรรเทือง สมณะ
ประหนึ่งแสงธรรมโชติ โปรดให้คายะนา
เจิดจรัสแจร่มจ้า ไพศุทธิ์
ปางเมื่อสมเด็จพุทธ ยอดฟ้า
โปรดก่อศาลหลวงรุด อรรถเร่ง
กระลาการเกียรติกล้า เกลื่องแกล้วสัตย์สิน
ลุสองสามสี่เจ็ดได้ เกิดคดี
นายช่างเหล็กบุญสี เรื่องรู้
พระเกษมปรับวจี สัตย์หย่า
ความฝ่ายถูกใช่ชู้ พ่ายแพ้กลความ
ปฐมเหตุดังกล่าวแล้ว เหตุประถม
พระผ่านพิภพบรม โปรดให้
ปราชญ์สิบเอ็ดบังคม รวมแต่ง
ประมวลกฎหมายไว้ ชื่อชั้นตราสาม
ตราสามดวงเล่มนี้ อินทภาษ
หัสสนัยประกาศ เวี่ยงไว้
ปรับความจ่งปราศ อคติ
ภยะโทสะไร้ ห่างสิ้นโลภหลง
การคดีแบบอย่างเบื้อง บาทบงสุ์
ความเที่ยงธรรมธำรง โอบเอื้อ
ประสิทธิ์ยุติธรรมทรง ศักดิ์ยิ่ง
ธรรมชูธรรมเชิดเชื้อ ก่อเกื้อยุติธรรม...
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558
๘. ศาลฎีกา ในเอกสารที่รอการทำลาย
๘. ศาลฎีกา ในเอกสารที่รอการทำลาย
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"........... โดย นิกร ทัสสโร
วันนี้. การออกข้อสอบสำหรับการสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาทั้งสามสนามสอบเสร็จแล้ว. เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน. ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาลขึ้นมาอ่าน. เอกสารชุดนี้มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว.เป็นเอกสารจำนวนมากที่รอการทำลาย. แต่ผมเห็นเข้าจึงปรึกษากับท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา และพี่จารุณี ว่า ผมเสียดายอยากเก็บไว้ อาจารย์และพี่จาเห็นด้วยและว่าต้องช่วยกันเก็บไว้. จึงได้เก็บเอกสารหลายหมื่นแผ่นนี้ไว้.
เอกสารเหล่านี้มีเรื่องอะไรบ้าง? เอกสารที่ขนไปเก็บไว้ที่อาคารเก็บเอกสารนั้น มี คำพิพากษาศาลขณะที่ยังใช้อัฏฏวิจารณ์ศาลาในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ทำการ, เอกสารค่าใช้จ่ายคดีพระยอดเมืองขวาง,เอกสารเกี่ยวกับศาลโปริสภาเมื่อแรกตั้ง ในปี ๒๔๓๖ ,เอกสารเกี่ยวกับการทุจริตในกระทรวงยุติธรรม สมัยรัชกาลที่ ๕ และเอกสารอื่นๆอีกมากมายนัก.ซึ่งล้วนแต่เป็นเอกสารที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของศาลทั้งสิ้น ผมถามเจ้าหน้าที่ศาลว่า ทำไมจึงต้องทำลายเอกสารเหล่านี้เสียล่ะ. เค้าตอบว่า. " ไม่มีที่เก็บ".
เอกสารที่เกี่ยวกับการทุจริตในศาลนั้น.ที่ผมพบทั้งที่ศาลและที่หอจดหมายเหตุไม่ได้มีชุดเดียวนะครับ. แต่ผมจะไม่นำมากล่าวถึง เพราะผู้ที่กระทำท่านล่วงลับไปแล้ว อีกทั้งขณะนี้ยังมีทายาทของท่านรับราชการเป็นผู้พิพากษาอยู่. คงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาเขียน. เหมือนที่เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯมีพระบันทึกไว้ว่า สอบสวนกันไปก็เหมือนการซักผ้าขี้ริ้ว. คือทรงเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ และบางเรื่องพระองค์ก็ทรงชดใช้แทนไป.แต่บางเรื่องล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ โปรดให้สอบสวนและให้คนทุจริตชดใช้เงินคืน.เงินแผ่นดินนี้ คงถือกันมานานแล้วว่า "ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้" ได้อ่านเอกสารเหล่านี้บ้างก็เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง.และได้เห็นว่าในอดีตนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง. คลี่คลายไปอย่างไร
ที่อยากเขียนถึงในบทนี้ คือ เรื่องศาลโปริสภาครับ. ต้นฉบับเอกสารที่รอดจากการทำลาย.เป็นเรื่องการก่อตั้งศาลโปริสภา เมื่อ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) น่าสนใจหลายเรื่องทีเดียว. เพราะมีทั้งแบบแปลนการซ่อมแซมศาล ,ที่ตั้งศาล และ คดีแรกของศาลโปริสภาซึ่งจำเลยมีอาชีพเป็นลิเกที่แถวพาหุรัด./
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"........... โดย นิกร ทัสสโร
วันนี้. การออกข้อสอบสำหรับการสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาทั้งสามสนามสอบเสร็จแล้ว. เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน. ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาลขึ้นมาอ่าน. เอกสารชุดนี้มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว.เป็นเอกสารจำนวนมากที่รอการทำลาย. แต่ผมเห็นเข้าจึงปรึกษากับท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา และพี่จารุณี ว่า ผมเสียดายอยากเก็บไว้ อาจารย์และพี่จาเห็นด้วยและว่าต้องช่วยกันเก็บไว้. จึงได้เก็บเอกสารหลายหมื่นแผ่นนี้ไว้.
เอกสารเหล่านี้มีเรื่องอะไรบ้าง? เอกสารที่ขนไปเก็บไว้ที่อาคารเก็บเอกสารนั้น มี คำพิพากษาศาลขณะที่ยังใช้อัฏฏวิจารณ์ศาลาในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ทำการ, เอกสารค่าใช้จ่ายคดีพระยอดเมืองขวาง,เอกสารเกี่ยวกับศาลโปริสภาเมื่อแรกตั้ง ในปี ๒๔๓๖ ,เอกสารเกี่ยวกับการทุจริตในกระทรวงยุติธรรม สมัยรัชกาลที่ ๕ และเอกสารอื่นๆอีกมากมายนัก.ซึ่งล้วนแต่เป็นเอกสารที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของศาลทั้งสิ้น ผมถามเจ้าหน้าที่ศาลว่า ทำไมจึงต้องทำลายเอกสารเหล่านี้เสียล่ะ. เค้าตอบว่า. " ไม่มีที่เก็บ".
เอกสารที่เกี่ยวกับการทุจริตในศาลนั้น.ที่ผมพบทั้งที่ศาลและที่หอจดหมายเหตุไม่ได้มีชุดเดียวนะครับ. แต่ผมจะไม่นำมากล่าวถึง เพราะผู้ที่กระทำท่านล่วงลับไปแล้ว อีกทั้งขณะนี้ยังมีทายาทของท่านรับราชการเป็นผู้พิพากษาอยู่. คงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาเขียน. เหมือนที่เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯมีพระบันทึกไว้ว่า สอบสวนกันไปก็เหมือนการซักผ้าขี้ริ้ว. คือทรงเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ และบางเรื่องพระองค์ก็ทรงชดใช้แทนไป.แต่บางเรื่องล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ โปรดให้สอบสวนและให้คนทุจริตชดใช้เงินคืน.เงินแผ่นดินนี้ คงถือกันมานานแล้วว่า "ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้" ได้อ่านเอกสารเหล่านี้บ้างก็เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง.และได้เห็นว่าในอดีตนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง. คลี่คลายไปอย่างไร
ที่อยากเขียนถึงในบทนี้ คือ เรื่องศาลโปริสภาครับ. ต้นฉบับเอกสารที่รอดจากการทำลาย.เป็นเรื่องการก่อตั้งศาลโปริสภา เมื่อ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) น่าสนใจหลายเรื่องทีเดียว. เพราะมีทั้งแบบแปลนการซ่อมแซมศาล ,ที่ตั้งศาล และ คดีแรกของศาลโปริสภาซึ่งจำเลยมีอาชีพเป็นลิเกที่แถวพาหุรัด./
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)