วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๑๐. กำพล ภู่สุดแสวง

๑๐. กำพล  ภู่สุดแสวง

" ศาลฎีกา  อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "................โดย  นิกร  ทัสสโร

                @ กำพลเกียรติก่ำก้อง    กำจาย
            อุทิศใจแลกาย                    ช่วยแก้
            ปัญหาจึ่งมลาย                   ลุล่วง
            คุณค่าควรจารแล้               แต่ล้วนขานนาม.

            เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ที่ผ่านมา. ท่านอาจารย์กำพล  ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา. ได้เกษียณอายุราชการแล้ว เกียรติแห่งการทำงานในหน้าที่ของผู้พิพากษานั้น เป็นที่เลื่องชื่อในความดีและความสามารถ. ผมควรบันทึกความดีของท่านไว้ในข้อเขียนนี้ของผม เนื่องจากท่านกับผมได้ทำงานร่วมกัน ๒ งานสำคัญ. กล่าวคือ ได้ร่วมกันสอน "วิชาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางการศาล" ในหลักสูตรผู้ช่วยผู้พิพากษา. และอีกงานชิ้นหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา.
         
           ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงท่านอาจารย์กำพลในงานสำคัญเรื่องที่ ๒ ครับ. เพราะถ้าไม่กล่าวถึงไว้ผมเกรงว่าอาจจะมีคนลืมความดีของท่านโดยประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง. เหมือนที่ขณะนี้เกือบทุกคนได้ลืมเสาหินสัญลักษณ์ในพิธีบวงสรวงการเจาะเสาเข็มต้นที่ ๙๙ อันเป็นเสาเข็มต้นแรกของอาคาร. ซึ่งพิธีดังกล่าวเป็นผลงานอุทโฆษของประธานศาลฎีกา ๒ ท่าน คือ ฯพณฯ ไพโรจน์  วายุภาพ และ ฯพณฯ ดิเรก อิงคนินันท์...เสาหินดังที่ว่านี้เคยพูดกันมั่นเหมาะว่า จะมีคำจารจารึกความดีของท่านทั้งสองและจะประดับไว้อย่างรู้คุณค่า ณ ตำแหน่งเสาศาลฎีกาบริเวณชั้น ๑ ด้านทิศตะวันออก ให้ตรงกับเสาเข็มต้นที่ ๙๙ ซึ่งเป็นรากฐานแรกในด้านวิศวกรรมของอาคาร. บัดนี้  ยังมีใครสนใจอยู่บ้าง หรือไม่ ? ผมไม่ทราบ แต่เสาหินยังคงวางนิ่งอยู่  และผมสนใจครับ

             กลับมาที่ผลงานของท่านอาจารย์กำพล. ในการเสียสละอย่างสูงยิ่งเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคการก่อสร้างศาลฎีกากันดีกว่าครับ...ผมได้บันทึกเรื่องราวไว้อย่างละเอียด จึงขอนำมาถ่ายทอด ดังนี้.

             ท่านอาจารย์กำพล  ภู่สุดแสวง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในราชการศาล เช่น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุราฎร์ธานี  อธิบดีผู้พิพากษา ภาค ๙ และมีตำแหน่งบริหารสุดท้ายที่ รองประธานศาลฎีกา หมดวาระผู้บริหารแล้วท่านก็เป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ระหว่างรับราชการท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้พิพากษาทั้งหลายเลือกให้ท่านเป็นกรรมการตุลาการอยู่หลายปีทีเดียว. ในการก่อสร้างศาลฎีกานั้นท่านเป็นกรรมการตรวจการจ้าง และเป็นอนุกรรมการอำนวยการก่อสร้างและแก้ไขปัญหาในการก่อสร้าง อนุกรรมการชุดนี้มี หม่อมหลวงฤทธิเทพ  เทวกุล เป็นประธานท่านแรก และขณะนี้ท่านวิรัช ชินวินิจกุล เป็นประธาน ส่วนผมนั้นเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ.

             ปัญหาในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกานั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่แรกทีเดียว คือ เมื่อเริ่มขั้นตอนประกวดราคาก่อสร้าง. มีฝ่ายที่คัดค้านมากมายหลายฝ่าย และหลายรูปแบบ ทั้งค้านเป็นหนังสือ , จัดประชุมคัดค้าน ,และ ประท้วงคัดค้านที่หน้าศาลฎีกา. ท่านอาจารย์กำพลจึงเสียสละเป็นผู้เจรจากับฝ่ายผู้คัดค้านหลายครั้ง. ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาที่สำนักงานศาลยุติธรรม หรือเจรจาที่กระทรวงวัฒนธรรม แม้แต่การเจรจานอกสถานที่ราชการท่านก็ไป.มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าสถานที่ ท่านก็ควักเงินส่วนตัวจ่าย..

              ในระหว่างการเจรจากับฝ่ายที่คัดค้านนั้น. วันหนึ่งของเดือนกันยายน ๒๕๕๓ ท่านอาจารย์และผมได้เข้าไปรับนโยบายที่สำคัญจากประธานศาลฎีกาในขณะนั้น คือ ท่านประธานศาลฎีกา ได้ให้นโยบายในการเจรจาว่า. "ให้ประนีประนอม". ดังนั้น ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ คณะของศาลที่นำโดยท่านวิรัช  ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และท่านอาจารย์กำพล รวมทั้งผมด้วย จึงได้ไปเจรจากับฝ่ายกระทรวงวัฒนธรรมที่ห้องทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ฝ่ายรัฐมนตรี ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ คือ รัฐมนตรีนิพิฏฐ อินทรสมบัติ และอธิบดีโสมสุดา ลีละวณิชย์ อธิบดีกรมศิลปากร.การเจรจาเริ่มเวลา ๑๔ นาฬิกา ศาลเราเป็นฝ่ายแจ้งให้คู่เจรจาทราบว่า "การก่อสร้างศาลฎีกา ศาลจะอนุรักษ์อาคารศาลยุติธรรมหลังพระรูปไว้ ๑ หลัง". ส่วนฝ่ายกรมศิลปากร เสนอ ขอออกแบบอาคารด้วย.หลังจากนั้น วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ กรมศิลปากรก็ส่งแบบสถาปัตยกรรมศาลฎีกาที่ฝ่ายตนออกแบบมายังศาลฎีกา. ( แบบดังกล่าวนี้ต่อมากรมศิลป์ไม่ติดใจ. จึงถือว่าไม่ประสงค์ให้มีการก่อสร้างตามแบบนั้นโดยปริยาย )...ในที่เจรจาท่านอาจารย์กำพลได้แถลงข้อมูลของศาลให้ฝ่ายคู่เจรจาทราบอย่างผู้รอบรู้ที่น่านับถือ และร่วมตัดสินใจให้กรมศิลปากรออกแบบอีกแบบหนึ่งด้วยเพื่อศาลจะได้พิจารณา นี่คือ คุณความดีของท่านอาจารย์กำพลในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายศาลครับ.ยังมีต่ออีกนะครับ.../  

   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น