๑๖. ครูเธียร เจริญวัฒนา : ศาลฎีกา บันทึกจากความจำ
"ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"........................โดย นิกร ทัสสโร
บริเวณหัวนอนของผม.มีบันทึกฉบับหนึ่งจำนวนแม้จะบางเพียง ๙ หน้า ลายมือเขียน แต่ผมรู้สึกว่ามีคุณค่าเหลือเกิน.ผมกราบพระก่อนนอนก็ได้กราบบันทึกนี้ไปด้วย.บันทึกดังกล่าวนี้มีชื่อว่า "บันทึกความจำ เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลยุติธรรม และ ศาลฎีกา" ซึ่งท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา บรรพตุลาการชาวสงขลา อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมเขียนด้วยลายมือของท่าน และมอบให้ผมไว้.
บันทึกนี้เปี่ยมด้วยสาระและอรรถรสทางภาษาเป็นอย่างยิ่ง. หลายเรื่องครูได้เห็นและได้ยินมาด้วยตัวเอง. โดยเฉพาะถ้อยคำของท่านอาจารย์สัญญา ช่วงท้ายของบันทึกนี้ครูจึงเขียนไว้ว่า
"...โครงการก่อสร้างศาลฎีกาชะงักอยู่หลายครั้ง ข้าพเจ้าทอดอาลัยแล้ว คิดว่าเอาไว้สร้างในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ ๒๕๐ ปี ก็แล้วกัน เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงมาให้ก่อสร้างได้เร็วขึ้น และจะสำเร็จลงในเวลาอันใกล้นี้ ก็รู้สึกดีใจ และหากการก่อสร้างสำเร็จลง และดวงวิญญาณของท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ หยั่งรู้ได้ด้วยวิถีใดๆ ท่านคงจะปิติยินดีเป็นที่สุด..."
บันทึกของท่านอาจารย์เธียรทั้งหมดผมจะนำมาพิมพ์ไว้ในบทนี้ครับ. และโดยส่วนตัวของผมนั้นบันทึกของครูให้ทั้งความรู้ ให้ทั้งกำลังใจ และให้พลังแก่ผมในการทำงานการสร้างและแก้ไขปัญหาในการก่อสร้างศาลฎีกา. ซึ่งต้องกล่าวว่า การทำงานอย่างนี้มีทั้งความเสี่ยง และมีความขัดแย้งสูงอย่างยิ่งทั้งความขัดแย้งจากบุคคลนอกองค์กร และในองค์กรศาล. คนชอบนั้นมีไม่มากหรอก ส่วนใหญ่มีแต่คนไม่ชอบ.แต่สำหรับผมนั้นผมไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างศาลฎีกาเพราะผลประโยชน์. ดังนั้นการทำหน้าที่เพื่อแก้ไขปัญหาและข้อขัดข้องในการก่อสร้างศาลฎีกาจึงต้องดำเนินการอยู่ทุกวัน...กำลังใจ.และพลังจึงนับว่าสำคัญมาก เด็กวัดอย่างผมยืนหยัดอยู่ ๘ ปีแล้ว ก็ด้วยกำลังใจนี่แหละครับ ซึ่งกำลังใจที่อยู่ในระดับที่มากที่สุดอย่างหนึ่ง.. ก็คือจากครูเธียร เจริญวัฒนา.
บันทึกของครูเธียร เจริญวัฒนา มีคุณค่าและน่าอ่านอย่างไร...เป็นไปอย่างนี้ครับ.
" จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๓ ต่อจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ ปีต่อมาเมื่อถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒ ได้มีการกำหนดให้ วันที่ ๒๔ เป็น "วันชาติ" โอกาสนี้จำได้ว่าหลวงวิจิตรวาทการได้แต่งเพลงขึ้นเพลงหนึ่ง จำเนื้อได้กระท่อนกระแท่นว่า
ยี่สิบสี่มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์ ปฐมฤกษ์ของรัฐ ฐะธรรมนูญของไทย เริ่มระบอบแบบอา
รยะประชาธิปไตย ทั่วราษฎรไทย ได้สิทธิเสรี
(สร้อย) สำราญ สำเริง บันเทิง เต็มที่ เพราะชาติเรามี เอกราชสมบูรณ์.....
ที่ใช้ว่า เพราะชาติเรามีเอกราชสมบูรณ์นั้น เพราะแม้เราจะเป็นเอกราช ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก แต่ก็เป็นเอกราชที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเราเสียเอกราชทางการศาล ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นต้นมา คนไทยต้องชอกช้ำขมขื่นถึง ๘๓ ปี ต้องต่อสู้มาจนสำเร็จก็เมื่อเดือนมกราคม ๒๔๘๑ ในปี ๒๔๘๒ จึงมีการสร้างตึกกระทรวงยุติธรรมขึ้น เพื่อ "เป็นที่ระลึกถึงการได้มาซึ่งเอกราชทางการศาล ตึกแรกสร้างเสร็จ และเปิดเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อมาเป็นการก่อสร้างตึกที่สองริมคลองคูเมือง และเสร็จเปิดเมื่อ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๖ ที่หน้ามุขอาคารที่สองนี้มีข้อความว่า "ศาลยุติธัม"
ศาลยุติธัม. เป็นอาคารสามชั้น ชั้นที่ ๑ และที่ ๒ เป็นที่ทำการศาลอาญา ชั้นที่ ๓ ด้านทิศใต้ถนนน่าหับเผยเป็นที่ทำการของศาลอุทธรณ์ ด้านทิศเหนือเป็นที่ทำการศาลฎีกา
เนื่องจากศาลฎีกาอยู่ชั้นสาม จึงมีการพูดล้อเล่นกันว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกาไม่ต้องกำหนดเกษียณอายุ ท่านใดเดินขึ้นไปทำงานไม่ไหว ก็เกษียณได้เมื่อนั้น
การก่อสร้างอาคารศาลต้องชะงักถึง ๑๕ ปี เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพระยาอรรถการีนิพนธ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จอมพลท่านเกรงใจและนับถือท่านเจ้าคุณพระยาอรรถการีมาก เรื่องราชการกระทรวงยุติธรรมท่านมอกหมายแก่ท่านเจ้าคุณทั้งสิ้น ด้วยประโยคที่ว่า " สุดแท้แต่ท่านเจ้าคุณ "
ท่านอาจารย์เธียร ยังบันทึกเล่าต่อไปว่า...
" ด้วยบารมีของท่านเจ้าคุณ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ศาลได้สร้างอาคารที่ทำการศาลในหัวเมืองเป็นจำนวนมาก ไม่น้อยกว่า ๒๐ ศาล สำหรับในกรุงเทพฯ ก็ได้มีการก่อสร้างศาลแพ่งและศาลฎีกา จึงลงมือรื้ออาคารศาลเดิมที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นที่ทำการศาลแพ่งอยู่ ข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่ศาลแพ่งก็ต้องย้ายไปทำงานที่ศาลพระราชอาญาเดิมที่เคยเป็นหอสัสดี เวลาสืบพยานที่ห้องพิจารณาชั้นบนพวกคนงานตอกเสาเข็มเสียงดัง ปัง ปัง ปัง สะเทือนมาถึงตึกที่นั่งสืบพยาน..."
"ความคิดที่จะสร้างศาลฎีกาให้สง่างามเป็นสัญญลักษณ์ของอำนาจตุลาการนั้น เป็นตำนานที่เล่าขานกันมาเกือบร้อยปีแล้วว่ามีอุปสรรค ขัดข้อง และมีเหตุขัดขวางเรื่อมา เหมือนมีอาถรรพ์ แม้เคยคิดที่จะสร้างให้เป็นปราสาทยุติธรรม หรือยุติธรรมปราสาท แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โครงการนี้จึงระงับไป"
ท่านอาจารย์บันทึกเล่าไว้ต่อไปว่า...
"ต่อมา ป๊ ๒๕๑๗ สมัยท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านกิตติ สีหนนท์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ข้าพเจ้าซึ่งขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงธนบุรี ได้รับคำสั่งให้ไปทำงานในตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงได้รับทราบเกี่ยวกับการสร้างศาลอยู่บ้าง"
ขอให้สังเกตนะครับ. สังเกตถึงความถ่อมตัวของปูชนียบุคคลอย่างครูเธียร ท่านใช้คำว่าท่านรับทราบ " อยู่บ้าง "
ท่านอาจารย์เธียรและบรรพตุลาการท่านมีลักษณะพิเศษอย่างนี้.ท่านอาจารย์โสภณ รัตนากร ก็เช่นเดียวกันครับ.ท่านจะไม่ค่อยพูดเล่าผลงานของท่าน.ผมในฐานะผู้เขียนจดหมายเหตุการก่อสร้างศาลฎีกาจึงต้องสืบค้นด้วยตัวเองอยู่หลายเรื่อง.ในบันทึกนี้ครูเธียรท่านเล่าไว้ต่อไปว่า
"เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔ ได้ย้ายศาลฎีกา และกระทรวงยุติธรรมไปอยู่ที่ตึกที่ทำการเก่าของกระทรวงธรรมการ.ย้ายโรงเรียนกฎหมายไปอยู่ที่ห้างแบดแมน ย้ายศาลพระราชอาญาไปอยู่ที่ตึเนติบัณฑิตยสภาและโรงเรียนกฎหมาย...ยังไม่มีโครงการสร้างศาลฎีกาเป็นเอกเทศ"
"ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ในสมัยท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๒ มีความคิดจะสร้างตึกเชื่อมระหว่างศาลอาญาและศาลแพ่งเข้าด้วยกัน ของบประมาณไป ๔๐ ล้านบาท ซึ่งตามค่าของเงินเวลานั้น ก็มากพอสมควร นายช่างทองจุล สิงหกุล ได้พูดเย้าข้าพเจ้าว่า การของบประมาณมากมายเช่นนี้ถ้าเป็นที่อื่นก็ต้องมีการชี้แจงรายละเอียดและมีแบบแปลนประกอบมากมาย แต่กระทรวงยุติธรรมมีหนังสือขอไปเพียง ๓ หน้ากระดาษ ก็ได้รับอนุมัติทันที" แหม..นายช่างก็..(อันนี้ท่านอาจารย์ไม่ได้เขียนนะครับ...คือ ผมเติมเอง)
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559
๑๕. St. Cloud Convalescent Home
๑๕. St. Cloud Convalescent Home
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"..................โดย นิกร ทัสสโร
ใกล้วันหยุดสงกรานต์แล้ว. ผมมักจะนำเอกสารเก่าๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การศาลไทย ที่เคยเก็บไว้มาอ่านทบทวน และค้นคว้าเพิ่มเติม โดยสอบถามหาความรู้เพิ่มเติมจาก ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร บ้าง, ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา บ้าง, ท่านอาจารย์สุรัช รัตนอุดม บ้าง, และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากราชสกุลรพีพัฒน์บ้าง.
ข้อมูลที่จะกล่าวถึงในบทนี้.เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่รักษาพระองค์ของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ในพระวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และ จากราชสกุลรพีพัฒน์.
เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วที่ผมเขียนหนังสือ "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" นั้น.ผมตั้งคำถามเพื่อตัวเองจะได้ค้นคว้าไว้หลายคำถาม.บางคำถามก็หาคำตอบในช่วงเวลาที่เขียนต้นฉบับได้.เช่น วังราชบุรีอยู่ที่ไหน?พระตำหนักของพระองค์เป็นอย่างไร? พระองค์ทรงพระะนิพนธ์ตำราไว้กี่เล่ม?...แต่ที่หาคำตอบยังไม่ได้ก็มี เช่น ชีวิตนักเรียนอังกฤษเมื่อทรงพระเยาว์. และพระวาระสุดท้ายที่ฝรั่งเศสเป็นอย่างไร? ซึ่งวันนี้ก็สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้แล้วพอสมควร.
จึงควรนำมากล่าวเล่ากันไว้เสียที่นี่.เพื่อจะได้แบ่งปันเรื่องราวของเจ้านายพระองค์ที่ทรงมีผลงานด้านการก่อสร้างศาลยุติธรรม.ในระดับที่กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานเงิน จำนวน สองล้านบาท เมื่อปี ร.ศ. ๑๒๒ เพื่อจะนำมาใช้ก่อสร้างอาคารศาลและกระทรวงยุติธรรม.
กลับมาที่ช่วงเวลาท้ายของพระชนม์ชีพที่ต่างแดน.ผมขอเริ่มจาก เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๖๑ พระอาการที่ทรงประชวรเริ่มมากขึ้น จนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๖๒ พระอาการอยู่ในระดับ "เกือบลุกนั่งไม่ได้แล้ว...ขอพระมหากรุณาธิคุณหยุดพักราชการ ๓ เดือน..." ต่อมาวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเขียนพินัยกรรม.โดยก่อนหน้านั้น ๑ เดือนพระองค์เตรียมการเสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ทรงจองเช่าโรงแรมที่สิงคโปร์เพื่อพักรอเปลี่ยนเรือ และทรงเตรียมเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาล.
คืนวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๖๓พระองค์ เสด็จโดยเรือกัวลา (kuala)ออกจากท่าเรือกรุงเทพฯมีเจ้านาย เจ้าพระยายมราช ข้าราชการ และลูกศิษย์ ส่งเสด็จ ขณะที่กล่าวลาเจ้าพระยายมราชครูของท่าน พระองค์รับสั่งว่า "บางครั้งครูอาจไม่ได้เห็นฉันอีก"...เสด็จถึงสิงคโปร์วันที่ ๒ พฤษภาคม ต่อมาทรงเปลี่ยนเรือโดยสารที่สิงคโปร์ เรือลำนี้ชื่อ "Andre Lebon"
การที่เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯ เสด็จไปรักษาพระองค์ครั้งนี้ มีนายแพทย์โรแบร์และครอบครัวตามเสด็จ.และมีหลวงชลหารพิจิตร ข้าราชการสังกัดกรมทดน้ำ ตามเสด็จด้วย.
เดือนมิถุนายนพระองค์และคณะถึงฝรั่งเศส.แล้วมุ่งสู่กรุงปารีสทันที.โดยเข้าประทับที่สถานทูตไทย จากนั้นวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลแพทย์ตรวจพบ..."tumorous large uleration on the right side of bladder" อันเป็นตำแหน่งแผลที่กระเพาะปัสสาวะ.
หลังจากนั้นพระองค์จะเสด็จไปพักรักษาที่ แซนาโตเรียม เดอ ตูเบอร์คูโลซีส ที่ไลแซง แต่พระอาการกลับทรุดลงจนน่าตกใจเนื่องจากเกิดหนองขึ้นที่ด้านในและด้านนอกกระเพาะปัสสาวะ. เงินที่ทรงเตรียมไปไม่เพียงพอแก่ค่ารักษา.
เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯจึงขอให้พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ โทรเลขแจ้งพระประสงค์จำนองวังราชบุรีเพื่อนำเงินเป็นค่ารักษา.พระองค์เจ้าจรูญฯทรงโทรเลขสอบถามมาทางกรุงเทพฯว่า "จะจ่ายเงินซึ่งจำเป็น สำหรับช่วยพระชนม์ไว้ ได้หรือไม่?".
เรื่องเงินค่ารักษาพยาบาลเสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯนี้.ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.พระองค์จึงมีพระราชกระแสให้สมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ และพระยามโนปกรณ์นิติธาดาทราบว่า ..."ฉันถวาย" สมเด็จฯ เสนาบดี จึงทรงมีพระโทรเลขตอบไปทางกรุงปารีสว่า..."ให้จัดการรักษาจนสุดกำลัง"
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๖๓ เสด็จในกรมหลวงราชบุรีทรงทราบก็ทรงมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ.จากนั้นจึงย้ายไปรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลที่ชื่่อว่า "St. Cloud Convalescent Home" ที่โรงพยาบาลนี้ได้มีหมอ Hepp เข้าร่วมให้การรักษาด้วย.
หลังจากนั้นเจ็ดวันคณะแพทย์ตรวจพบฝีที่บริเวณระหว่างไตไปถึงกระเพาะปัสสสาวะ.ต้องผ่าเจาะฝีและต้องตัดไต.เสด็จในกรมหลวงราชบุรีจึงให้โทรเลขแจ้งให้หม่อมและพระโอรสธิดาที่วังราชบุรีให้ทราบพระอาการที่หนักนี้.
"ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"..................โดย นิกร ทัสสโร
ใกล้วันหยุดสงกรานต์แล้ว. ผมมักจะนำเอกสารเก่าๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การศาลไทย ที่เคยเก็บไว้มาอ่านทบทวน และค้นคว้าเพิ่มเติม โดยสอบถามหาความรู้เพิ่มเติมจาก ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร บ้าง, ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา บ้าง, ท่านอาจารย์สุรัช รัตนอุดม บ้าง, และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากราชสกุลรพีพัฒน์บ้าง.
ข้อมูลที่จะกล่าวถึงในบทนี้.เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่รักษาพระองค์ของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ในพระวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และ จากราชสกุลรพีพัฒน์.
เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วที่ผมเขียนหนังสือ "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" นั้น.ผมตั้งคำถามเพื่อตัวเองจะได้ค้นคว้าไว้หลายคำถาม.บางคำถามก็หาคำตอบในช่วงเวลาที่เขียนต้นฉบับได้.เช่น วังราชบุรีอยู่ที่ไหน?พระตำหนักของพระองค์เป็นอย่างไร? พระองค์ทรงพระะนิพนธ์ตำราไว้กี่เล่ม?...แต่ที่หาคำตอบยังไม่ได้ก็มี เช่น ชีวิตนักเรียนอังกฤษเมื่อทรงพระเยาว์. และพระวาระสุดท้ายที่ฝรั่งเศสเป็นอย่างไร? ซึ่งวันนี้ก็สามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้แล้วพอสมควร.
จึงควรนำมากล่าวเล่ากันไว้เสียที่นี่.เพื่อจะได้แบ่งปันเรื่องราวของเจ้านายพระองค์ที่ทรงมีผลงานด้านการก่อสร้างศาลยุติธรรม.ในระดับที่กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานเงิน จำนวน สองล้านบาท เมื่อปี ร.ศ. ๑๒๒ เพื่อจะนำมาใช้ก่อสร้างอาคารศาลและกระทรวงยุติธรรม.
กลับมาที่ช่วงเวลาท้ายของพระชนม์ชีพที่ต่างแดน.ผมขอเริ่มจาก เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๖๑ พระอาการที่ทรงประชวรเริ่มมากขึ้น จนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๖๒ พระอาการอยู่ในระดับ "เกือบลุกนั่งไม่ได้แล้ว...ขอพระมหากรุณาธิคุณหยุดพักราชการ ๓ เดือน..." ต่อมาวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเขียนพินัยกรรม.โดยก่อนหน้านั้น ๑ เดือนพระองค์เตรียมการเสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ทรงจองเช่าโรงแรมที่สิงคโปร์เพื่อพักรอเปลี่ยนเรือ และทรงเตรียมเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาล.
คืนวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๖๓พระองค์ เสด็จโดยเรือกัวลา (kuala)ออกจากท่าเรือกรุงเทพฯมีเจ้านาย เจ้าพระยายมราช ข้าราชการ และลูกศิษย์ ส่งเสด็จ ขณะที่กล่าวลาเจ้าพระยายมราชครูของท่าน พระองค์รับสั่งว่า "บางครั้งครูอาจไม่ได้เห็นฉันอีก"...เสด็จถึงสิงคโปร์วันที่ ๒ พฤษภาคม ต่อมาทรงเปลี่ยนเรือโดยสารที่สิงคโปร์ เรือลำนี้ชื่อ "Andre Lebon"
การที่เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯ เสด็จไปรักษาพระองค์ครั้งนี้ มีนายแพทย์โรแบร์และครอบครัวตามเสด็จ.และมีหลวงชลหารพิจิตร ข้าราชการสังกัดกรมทดน้ำ ตามเสด็จด้วย.
เดือนมิถุนายนพระองค์และคณะถึงฝรั่งเศส.แล้วมุ่งสู่กรุงปารีสทันที.โดยเข้าประทับที่สถานทูตไทย จากนั้นวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลแพทย์ตรวจพบ..."tumorous large uleration on the right side of bladder" อันเป็นตำแหน่งแผลที่กระเพาะปัสสาวะ.
หลังจากนั้นพระองค์จะเสด็จไปพักรักษาที่ แซนาโตเรียม เดอ ตูเบอร์คูโลซีส ที่ไลแซง แต่พระอาการกลับทรุดลงจนน่าตกใจเนื่องจากเกิดหนองขึ้นที่ด้านในและด้านนอกกระเพาะปัสสาวะ. เงินที่ทรงเตรียมไปไม่เพียงพอแก่ค่ารักษา.
เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯจึงขอให้พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์ โทรเลขแจ้งพระประสงค์จำนองวังราชบุรีเพื่อนำเงินเป็นค่ารักษา.พระองค์เจ้าจรูญฯทรงโทรเลขสอบถามมาทางกรุงเทพฯว่า "จะจ่ายเงินซึ่งจำเป็น สำหรับช่วยพระชนม์ไว้ ได้หรือไม่?".
เรื่องเงินค่ารักษาพยาบาลเสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯนี้.ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.พระองค์จึงมีพระราชกระแสให้สมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ และพระยามโนปกรณ์นิติธาดาทราบว่า ..."ฉันถวาย" สมเด็จฯ เสนาบดี จึงทรงมีพระโทรเลขตอบไปทางกรุงปารีสว่า..."ให้จัดการรักษาจนสุดกำลัง"
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๖๓ เสด็จในกรมหลวงราชบุรีทรงทราบก็ทรงมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ.จากนั้นจึงย้ายไปรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลที่ชื่่อว่า "St. Cloud Convalescent Home" ที่โรงพยาบาลนี้ได้มีหมอ Hepp เข้าร่วมให้การรักษาด้วย.
หลังจากนั้นเจ็ดวันคณะแพทย์ตรวจพบฝีที่บริเวณระหว่างไตไปถึงกระเพาะปัสสสาวะ.ต้องผ่าเจาะฝีและต้องตัดไต.เสด็จในกรมหลวงราชบุรีจึงให้โทรเลขแจ้งให้หม่อมและพระโอรสธิดาที่วังราชบุรีให้ทราบพระอาการที่หนักนี้.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)