๖. เอกราชทางการศาล กับ อาคารศาลยุติธรรม
"ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ" ..............โดย นิกร ทัสสโร........
ในการก่อสร้างศาลฎีกาครั้งแรกนี้. เมื่อเริ่มโครงการก็ได้มีกรมศิลปากร และ สมาคมสถาปนิกสยาม ตลอดจนคณะบุคคลและองค์กรต่างๆ คัดค้านด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ. ทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่สถาบันศาลไม่เคยเจอมาก่อน เพราะอดีตที่ผ่านมาทุกฝ่ายมักจะให้ความเคารพในสถาบันศาล. แต่ยุคสมัยนี้เริ่มเปลี่ยนไปมากแล้ว. การคัดค้านนั้น เริ่มจากวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ คณะของสมาคมสถาปนิกสยาม เข้าพบนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ขอให้กรมศิลปากรคัดค้านการก่อสร้าง. จากนั้นสมาคมสถาปนิกสยามมีหนังสือถึงประธานศาลฎีกาขอเข้าสำรวจคุณค่าของกลุ่มอาคารศาลฎีกาทุกอาคาร.ช่วงบ่ายของวันหนึ่งผู้อำนวยการศาลฎีกานำหนังสือนั้นมาให้ผม เพราะทางการศาลให้ผมทำความเห็น. ผมทำความเห็นว่าศาลอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีสำคัญ จึงไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าสำรวจอาคาร.ต้องยอมรับว่าความเห็นเช่นนี้เป็นการตั้งรับ เพื่อรอดูท่าทีของฝ่ายคัดค้าน.ว่าจะมีท่าทีต่อไปอย่างไร.
จากนั้นไม่นานกรมศิลปากรก็เริ่มรุกโดยมีหนังสือถึงประธานศาลฎีกา และ ท่านอาจารย์วิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม แจ้งว่าอาคารศาลยุติธรรม (หลังอนุสาวรีย์พระรูปกรมหลวงราชบุรี) และอาคารศาลด้านริมคลองคูเมืองเป็นโบราณสถาน. กรมศิลป์ขอส่งคณะข้าราชการเข้าสำรวจเพื่อขึ้นทะเบียนโบราณสถาน. พร้อมกันนั้นอธิบดีเกรียงไกรก็เริ่มแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน คัดค้านการก่อสร้าง.ทางศาลจึงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา.ที่ประชุมของฝ่ายศาลจึงมีมติให้มีการเจรจากับกรมศิลปากร. ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นการเจรจากับทุกฝ่ายทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างศาลฎีกา. ผู้นำในการเจรจาของฝ่ายศาลนั้น นำโดยอาจารย์วิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม. ส่วนฝ่ายที่คัดค้านก็มีผู้นำหลากหลาย เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บางครั้งหากเจรจาที่วุฒิสภาก็มีประธานกรรมาธิการศาสนาและศิลปของวุฒิสภาเป็นผู้นำ. และบางครั้งเมื่อมีการเจรจาที่คณะวิชาการของกรมศิลปากร ก็มีอธิบดีกรมศิลปากรเป็นผู้นำ....นอกจากฝ่ายคัดค้านดังที่ผมกล่าวแล้ว ยังมีองค์กรเอกชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมคัดค้านด้วย การคัดค้านขององค์กรเหล่านี้ ทำเป็นหนังสือก็มี ลงชื่อใน facebook ก็มี ทำหนังสือถึงองค์กรตาม
รัฐธรรมนูญก็มี. ออกทีวี และสื่อทุกประเภทก็มี. ที่สำคัญ คือการค้านในรูปแบบประชุมทางวิชาการ เช่น การประชุมโดย อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร และกลุ่มคณะบุคคลอื่นอีกหลายครั้ง.เรียกว่าเปิดการรุกฝ่ายศาลทุกสรรพกำลัง
ทำไมจึงต้องมีการเจรจา...คำถามนี้หลายท่านอาจจะถาม. คำตอบหลักก็คือ การเจรจาข้อขัดแย้งนั้นเป็นวิถีทางของผู้ที่เจริญ.เมื่อดูฝ่ายคัดค้านแล้วฟากของศาลเห็นว่าการรับมือและแก้ปัญหาดังกล่าว ต้องใช้วิถีของผู้ที่เจริญด้วยปัญญาพึงกระทำซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้อย่างมีเกียรติ เกียรติของผู้ที่เป็นตุลาการ. และรวมถึงเกียรติของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย. ซึ่งกว่าจะได้ผล ต้องใช้เวลาเกือบสองปีรวมการเจรจาประมาณ ๑๕ ครั้ง....โดยผลการเจรจาครั้งสำคัญปรากฏตามหนังสือของกรมศิลปากร ที่ วธ ๐๔๐๓/๑๖๓๔ ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีข้อความสำคัญที่สุดว่า "...กรมศิลปากรได้แนะนำข้อราชการที่เป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์โบราณสถานสำคัญ โดยท่านนิกร ทัสสโร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ซึ่งเป็นผู้แทนศาลฎีกา ได้จดรายละเอียดไปแล้ว..."
ไม่น่าเชื่อว่าแม้กรมศิลปากรจะมีหนังสือแจ้งศาลฎีกาเช่นนี้แล้ว. แต่ครั้นศาลเริ่มการก่อสร้างกรมศิลปากรกลับแจ้งความดำเนินคดี.
ประธานศาลฎีกาจึงมอบหมายให้ผมรับผิดชอบให้การแก้ต่างคดีต่อพนักงานสอบสวน. และผมยังต้องชี้แจงต่อคณะผู้บริหารศาลว่า ข้อความที่ผมจดมานั้นมีว่า....ในการก่อสร้างศาลฎีกาครั้งนี้ให้ใช้แบบของจุฬาสร้างทับลงแทนอาคาร ๒ ด้านริมคลอง และอาคาร ๓ ด้านถนนราชดำเนิน โดยให้คงอาคารหลังพระรูป (อาคาร ๑ ) ไว้ และศาลจะลดความสูงของอาคารลง...ความสูงที่ศาลลดลงนั้นศาลลดลงให้ต่ำกว่าความสูงของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือ สูงเพียง ๒๕.๗๐ เมตร
ทำไมต้องเหลืออาคารหลังพระรูปไว้ .อาคารหลังพระรูป อาคารนี้ในปัจุบันเรียกว่า " อาคารศาลยุติธรรม". เดิมเคยเป็นที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม. ในประวัติศาสตร์ของชาติต้องถือว่าเป็นอาคารที่สำคัญที่สุดหลังหนึ่ง. เพราะสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเอกราชทางการศาลโดยสมบูรณ์. ในปี ๒๔๘๑.
เคยมีผู้ถามผมว่าเอกราชทางการศาลคืออะไร?...เอกราชทางการศาลคือการที่ประเทศสามารถพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตที่เป็นดินแดนของตนได้ทุกประเภทคดี. ไม่ว่าคู่ความที่มีข้อพิพาทนั้นจะเป็นคนชาติของตนหรือคนต่างชาติ. ในสมัยรัตนโกสินทร์ประเทศไทยเสียเอกราชทางการศาลเพราะต้องตกอยู่ภาคใต้ "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" แก่ประเทศต่างๆหลายประเทศมาก เริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๓๙๘ ซึ่งเป็นวันที่สยามลงนามในสัญญาพระราชไมตรีกับอังกฤษ. เรียกชื่อสัญญาฉบับนี้ว่า " สัญญาเบาว์ริ่ง " สัญญาเบาว์ริ่ง ( Bowring Treaty ).สัญญานี้มีผลบังคับในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๙๙. ชาวอังกฤษที่เป็นราชทูตมาทำสัญญาชื่อ John Bowring .สัญญานี้ ข้อ ๒ กำหนดว่า สยามยอมให้อังกฤษตั้งสถานกงสุลมีอำนาจพิจารณาคดีที่คนอังกฤษเป็นคู่ความ และร่วมพิจารณาคดีที่คนสยามและคนอังกฤษมีคดีความ...นั่นก็หมายความว่าประเทศเราไม่มีสิทธิตัดสินคดีคนอังกฤษที่มาอยู่ในประเทศเรา...หลังจากนั้น ประเทศอเมริกา ,ฝรั่งเศส, เดนมาร์ก,โปรตุเกส, ฮอลแลนด์,เยอรมัน,เบลเยียม,นอรเวย์, อิตาลี, ก็ได้ทำสัญญาได้สิทธิตัดสินคดีคนของตนเองในเมืองไทยเช่นเดียวกับอังกฤษ...ประเทศไทยพยายามปลดเปลื้องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตมานานแล้วและค่อยๆประสบความสำเร็จ. จนกระทั่งถึงปี ๒๔๘๑ จึงได้รับผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น