วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

๑๑. มนตรี ยอดปัญญา : ตู้ฎีกาศาลยุติธรรม

๑๑. มนตรี  ยอดปัญญา : ตู้ฎีกาศาลยุติธรรม

" ศาลฎีกา  อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "....................โดย  นิกร  ทัสสโร

              @    มน         นามขานชื่อตู้        ฎีกา
                 ตรี              กาลคำนึงมา         เปรียบไว้
                 ยอด           ชนต่างตรึงจา-      รึกชื่อ
                 ปัญญา       เด่นดุจได้             ดั่งเนื้อมณีศาล

            @      คราวครายามท่านให้         ความเห็น
                 ชัดแจ่มแถลงประเด็น              ที่ชี้
                 สถาป์ปัตย์ควรเป็น                  ตามที่  วาดแบบ
                 คงหนึ่งอาคารนี้                       คู่ค้ำภูมิสถาน./



       ผมให้ความเคารพและศรัทธาท่านอาจารย์มนตรีมากที่เดียวเป็นเพราะชื่อเสียงด้านความรู้ทางกฎหมายของท่านที่มีเป็นอย่างสูง. ในระดับที่ได้รับการยกย่องว่า เป็น " ตู้ฎีกาเคลื่อนที่ ". จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ผมรับราชการอยู่ที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี ๒๕๓๙ มีการประชุมสัมมนาผู้พิพากษาที่เกาะสมุย (สัมมนาจริงๆนะครับ ).ท่านอาจารย์วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผู้บรรยายกล่าวถึงอาจารย์มนตรีอย่างยกย่องว่ามีความจำดีเลิศ. และฉลาดเฉลียวมากทางกฎหมาย.

      ครั้นถึงปี ๒๕๔๓ ผมย้ายเข้ามาเป็นผู้พิพากษาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้. ท่านอาจารย์มนตรีเป็นรองอธิบดี และดูแลบังคับบัญชา. ผมได้คำแนะนำจากท่านมากหลายประเด็น คราวหนึ่งผมติดปัญหาเรื่องกฎหมายหุ้นส่วน บริษัท.เพียงผมขอความรู้และพูดถึงปัญหายังไม่ทันจบคำถาม ท่านอาจารย์มนตรีก็ตอบได้ทันทีว่า " เรื่องนี้เป็นเรื่อง  บริษัทร้าง "

       ข้อกฎหมายเรื่องบริษัทร้างนี่นะครับ. นักกฎหมายเรียนมาก็แค่รู้.เพราะมีการใช้กันน้อยมาก แต่ท่านอาจารย์รู้  นับว่าเป็นผู้ยอดปัญญา สมนามสกุลจริงๆ.

     เมื่อผมรับราชการที่ศาลฎีกา.ขณะนั้นท่านอาจารย์มนตรีเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จากนั้นก็เลื่อนเป็นรองประธานศาลฎีกา. ผมก็ได้ร่วมงานกับท่านอาจารย์มนตรีในคณะอนุกรรมการ กบศ. ชุดที่ชื่อว่า " คณะกรรมการอำนวยการและแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา " คณะนี้มีท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ  เทวกุล รองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน เมื่อปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกาเริ่มมีมากขึ้น จนศาลต้องประชุมกันหลายครั้ง  ท่านอาจารย์มนตรีได้ให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ทุกครั้ง. เช่น ให้ความเห็นเมื่อวันที่  ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ว่า หากการก่อสร้างไม่สามารถดำเนินการได้เพราะมีผู้คัดค้าน ศาลฎีกาก็ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายของใครก็ตาม เพราะการคัดค้านที่เกิดขึ้น นับเป็นเหตุสุดวิสัยของฝ่ายศาล.

         " เหตุสุดวิสัย " เป็นคำในกฎหมายนะครับ ผู้ที่เชี่ยวชาญกฎหมายเรื่องสัญญา. จะทราบเรื่องนี้ แต่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้แค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับจริยธรรมและความมีจิตใจที่ยุติธรรมด้วย. คือ ใช้เหตุสุดวิสัยตะพึดตะพือ ไม่ได้

       วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๖ นาฬิกา .ผมได้เข้าพบท่านอาจารย์มนตรีที่ห้องรองประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นห้องทำงานของท่าน. ผมหารือท่านอาจารย์เรื่องปัญหาในการก่อสร้างศาลฎีกา.ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า " การที่แบบอาคารออกแบบเป็นทรงไทยนั้น ขอให้พวกเราเคารพผู้ออกแบบ เราต้องรู้ว่าท่านอาจารย์ภิญโญท่านเชี่ยวชาญแบบไทย เมื่อศาลขอให้ท่านออกแบบให้ ศาลต้องรู้ว่าแบบที่จะออกมานั้นต้องเป็นแบบไทย " แล้วท่านก็กล่าวเป็นภาษิตขึ้นว่า ตัวท่านอาจารย์นั้น " ยังไม่ถึงเวลา เดี๋ยวจะถูกหาว่าไม่เห็นน้ำก็รีบตัดกระบอก "

      จากนั้นอาจารย์ก็นำผมไปหารือกับท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ  เทวกุล ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา ที่ห้องทำงานของท่านอาจารย์หม่อม.ระหว่างการหารือกันนั้น ผมได้สรุปเรื่องราวให้ท่านทั้งสองฟัง และประเมินสภาพการณ์ทั้งหมดให้ทราบ. ท้ายสุดท่านอาจารย์มนตรีและผมก็ลาอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ.ระหว่างนั้นท่านอาจารย์ก็พูดกับผมว่า... "ท่านนิกรไปกราบเรียนท่านประธานศาลฎีกาเถอะ ".

       ขณะที่ท่านอาจารย์มนตรีดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา. ท่านอาจารย์เป็นห่วงเรื่องการสร้างศาลฎีกาอย่างยิ่ง. ปรากฏจากบันทึกของท่านอาจารย์โสภณที่ว่า.....

(เรื่องราวการก่อสร้างศาลฎีกาทั้งหมดผมบันทึกไว้ในเอกสารส่วนตัว จะนำมาเผยแพร่ไปเรื่อยๆ เป็นการเล่าเรื่องแบบบ้านๆ ของคนบ้านนอก ที่บังเอิญว่าได้มาทำงานนี้ เพื่อให้เห็นความดีของบรรพตุลาการทุกๆท่านในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกา... )./



วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๑๐. กำพล ภู่สุดแสวง

๑๐. กำพล  ภู่สุดแสวง

" ศาลฎีกา  อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "................โดย  นิกร  ทัสสโร

                @ กำพลเกียรติก่ำก้อง    กำจาย
            อุทิศใจแลกาย                    ช่วยแก้
            ปัญหาจึ่งมลาย                   ลุล่วง
            คุณค่าควรจารแล้               แต่ล้วนขานนาม.

            เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ที่ผ่านมา. ท่านอาจารย์กำพล  ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา. ได้เกษียณอายุราชการแล้ว เกียรติแห่งการทำงานในหน้าที่ของผู้พิพากษานั้น เป็นที่เลื่องชื่อในความดีและความสามารถ. ผมควรบันทึกความดีของท่านไว้ในข้อเขียนนี้ของผม เนื่องจากท่านกับผมได้ทำงานร่วมกัน ๒ งานสำคัญ. กล่าวคือ ได้ร่วมกันสอน "วิชาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางการศาล" ในหลักสูตรผู้ช่วยผู้พิพากษา. และอีกงานชิ้นหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา.
         
           ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงท่านอาจารย์กำพลในงานสำคัญเรื่องที่ ๒ ครับ. เพราะถ้าไม่กล่าวถึงไว้ผมเกรงว่าอาจจะมีคนลืมความดีของท่านโดยประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง. เหมือนที่ขณะนี้เกือบทุกคนได้ลืมเสาหินสัญลักษณ์ในพิธีบวงสรวงการเจาะเสาเข็มต้นที่ ๙๙ อันเป็นเสาเข็มต้นแรกของอาคาร. ซึ่งพิธีดังกล่าวเป็นผลงานอุทโฆษของประธานศาลฎีกา ๒ ท่าน คือ ฯพณฯ ไพโรจน์  วายุภาพ และ ฯพณฯ ดิเรก อิงคนินันท์...เสาหินดังที่ว่านี้เคยพูดกันมั่นเหมาะว่า จะมีคำจารจารึกความดีของท่านทั้งสองและจะประดับไว้อย่างรู้คุณค่า ณ ตำแหน่งเสาศาลฎีกาบริเวณชั้น ๑ ด้านทิศตะวันออก ให้ตรงกับเสาเข็มต้นที่ ๙๙ ซึ่งเป็นรากฐานแรกในด้านวิศวกรรมของอาคาร. บัดนี้  ยังมีใครสนใจอยู่บ้าง หรือไม่ ? ผมไม่ทราบ แต่เสาหินยังคงวางนิ่งอยู่  และผมสนใจครับ

             กลับมาที่ผลงานของท่านอาจารย์กำพล. ในการเสียสละอย่างสูงยิ่งเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคการก่อสร้างศาลฎีกากันดีกว่าครับ...ผมได้บันทึกเรื่องราวไว้อย่างละเอียด จึงขอนำมาถ่ายทอด ดังนี้.

             ท่านอาจารย์กำพล  ภู่สุดแสวง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในราชการศาล เช่น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุราฎร์ธานี  อธิบดีผู้พิพากษา ภาค ๙ และมีตำแหน่งบริหารสุดท้ายที่ รองประธานศาลฎีกา หมดวาระผู้บริหารแล้วท่านก็เป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ระหว่างรับราชการท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้พิพากษาทั้งหลายเลือกให้ท่านเป็นกรรมการตุลาการอยู่หลายปีทีเดียว. ในการก่อสร้างศาลฎีกานั้นท่านเป็นกรรมการตรวจการจ้าง และเป็นอนุกรรมการอำนวยการก่อสร้างและแก้ไขปัญหาในการก่อสร้าง อนุกรรมการชุดนี้มี หม่อมหลวงฤทธิเทพ  เทวกุล เป็นประธานท่านแรก และขณะนี้ท่านวิรัช ชินวินิจกุล เป็นประธาน ส่วนผมนั้นเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ.

             ปัญหาในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกานั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่แรกทีเดียว คือ เมื่อเริ่มขั้นตอนประกวดราคาก่อสร้าง. มีฝ่ายที่คัดค้านมากมายหลายฝ่าย และหลายรูปแบบ ทั้งค้านเป็นหนังสือ , จัดประชุมคัดค้าน ,และ ประท้วงคัดค้านที่หน้าศาลฎีกา. ท่านอาจารย์กำพลจึงเสียสละเป็นผู้เจรจากับฝ่ายผู้คัดค้านหลายครั้ง. ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาที่สำนักงานศาลยุติธรรม หรือเจรจาที่กระทรวงวัฒนธรรม แม้แต่การเจรจานอกสถานที่ราชการท่านก็ไป.มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร ค่าสถานที่ ท่านก็ควักเงินส่วนตัวจ่าย..

              ในระหว่างการเจรจากับฝ่ายที่คัดค้านนั้น. วันหนึ่งของเดือนกันยายน ๒๕๕๓ ท่านอาจารย์และผมได้เข้าไปรับนโยบายที่สำคัญจากประธานศาลฎีกาในขณะนั้น คือ ท่านประธานศาลฎีกา ได้ให้นโยบายในการเจรจาว่า. "ให้ประนีประนอม". ดังนั้น ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ คณะของศาลที่นำโดยท่านวิรัช  ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และท่านอาจารย์กำพล รวมทั้งผมด้วย จึงได้ไปเจรจากับฝ่ายกระทรวงวัฒนธรรมที่ห้องทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ฝ่ายรัฐมนตรี ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ คือ รัฐมนตรีนิพิฏฐ อินทรสมบัติ และอธิบดีโสมสุดา ลีละวณิชย์ อธิบดีกรมศิลปากร.การเจรจาเริ่มเวลา ๑๔ นาฬิกา ศาลเราเป็นฝ่ายแจ้งให้คู่เจรจาทราบว่า "การก่อสร้างศาลฎีกา ศาลจะอนุรักษ์อาคารศาลยุติธรรมหลังพระรูปไว้ ๑ หลัง". ส่วนฝ่ายกรมศิลปากร เสนอ ขอออกแบบอาคารด้วย.หลังจากนั้น วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓ กรมศิลปากรก็ส่งแบบสถาปัตยกรรมศาลฎีกาที่ฝ่ายตนออกแบบมายังศาลฎีกา. ( แบบดังกล่าวนี้ต่อมากรมศิลป์ไม่ติดใจ. จึงถือว่าไม่ประสงค์ให้มีการก่อสร้างตามแบบนั้นโดยปริยาย )...ในที่เจรจาท่านอาจารย์กำพลได้แถลงข้อมูลของศาลให้ฝ่ายคู่เจรจาทราบอย่างผู้รอบรู้ที่น่านับถือ และร่วมตัดสินใจให้กรมศิลปากรออกแบบอีกแบบหนึ่งด้วยเพื่อศาลจะได้พิจารณา นี่คือ คุณความดีของท่านอาจารย์กำพลในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายศาลครับ.ยังมีต่ออีกนะครับ.../  

   

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

๙. อัฏฏวิจารณ์ลิลิต

๙. อัฏฏวิจารณ์ลิลิต
"ศาลฎีกา  อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ".........โดย  นิกร  ทัสสโร

       การที่ต้องทำหน้าที่เขียนหนังสือที่ระลึกในวันเปิดศาลฎีกานั้น. สำหรับบางท่านอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับตัวผม ผมยอมรับว่ายากที่สุดในชีวิต. เพราะต้องใช้ความรู้ เวลา และทุนรอน อย่างมากมาย. แต่ผมเป็นผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมซึ่งเป็นสถาบันสำคัญของชาติและทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของพระเจ้าอยู่หัว. จึงจำเป็นอยู่เองที่ผมและครอบครัวต้องเขียนหนังสือที่ระลึกของศาลฎีกาให้ได้.อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้ทราบว่า ในสถาบันศาลนั้น นอกจากจะมีผู้พิพากษาที่มีความรู้ มีความซื่อสัตย์ มีความสมถะอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว.ก็ยังมีผู้พิพากษาที่พอจะมีความสามารถทางด้านวรรณกรรมเช่นกัน.( ส่วนเมื่อเขียนต้นฉบับเสร็จแล้ว และสุดความสามารถของผมแล้ว สถาบันศาลยุติธรรมจะตีพิมพ์.หรือไม่? เป็นเรื่องนอกเหนือการตัดสินใจของผมครับ)

      ความรู้ทางวรรณกรรมของผม. ไม่ได้มาจากตัวผมเอง แต่มาจากครูหลายท่านที่ท่านเมตตาสั่งสอนผม คือ ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร. ท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา. พลตรี หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์  เกษมศรี จึงขอกล่าวไว้เพื่อระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ ณ ที่นี้

      หนังสือที่ระลึกในการเปิดศาลฎีกาครั้งนี้. เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผมเขียนเกี่ยวกับของสูง. ผมจึงต้องพยายามเขียนเป็น "ลิลิต" ครับ. ผมตั้งชื่อว่า " ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์ลิลิต "

      (ร่าย)        @สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช สถาปนาถนครา  ครา ธ ผ่านภิภพ  ทีปไท้พระปรารภ  มฆมานพบำเพ็ญ  เป็นองค์อินทร์สักกะ   ชำนะซึ่งกิเลส   ในประเทศมคธ   รินรสวัตตบทธรรม  ท้าวดำริตริตรอง  การผองตั้งแผ่นดิน  โกสินทร์รัตน์นคร  รอนราพย์ประชาสุข   งำทุกข์ประชาไทย  จึ่งอาศัยคติธรรม  นำมาซึ่งธรรมศาสตร์  ปราศจากอคติ  หลักวิธีอินทภาษ  ปลาสแล้วในสี่เหตุ  มูลอาเพทอาธรรม์  จะด่ำดื่มซึ่งสุข ประชาทุกขอบขัณฑ์  ราชันโปรดก่อตั้ง  ณ ที่ศาลหลวงยั้ง  ดั่งอัมรินทร์ นั่นแล

    (โคลง ๔ )       ภูมินทร์ทรงก่อตั้ง          บูรินทร์
                      รัตนโกสินทร์                      ก่ำหล้า
                      คงคติคู่ธานินทร์                 สืบแต่  บุราณเฮอ
                      กรุงก่อเกิดกรุงกล้า            เกริกฟ้าเกรียงกรุง

                            คติการที่สร้าง               กรุงไกร
                     องค์สักกะประทานชัย         แน่วแท้
                     อัญเชิญจอมเทพใน            ดุสิต
                     ประดิษฐ์นคราแล้                ดั่งเบื้องเมืองแมน

                          พระศรีรัตนล้ำ                ดาราม
                      สถิตเสถียรนาม                 พระแก้ว
                      พุทธลัษณะงาม                ยอดยิ่ง
                      มรกตมณีแผ้ว                   ผ่องพริ้มพิมพ์สมัย

                           หลักเมืองเกลาแต่งไม้   ชัยพฤกษ์
                      เมืองเหนี่ยวจิตชนตรึก        แน่นแล้ว
                      หกเมษต่างรำลึก                เมืองมิ่ง
                      เมืองมิ่งเปรียบเมืองแก้ว     ดั่งฟ้ามาดิน
                   
                          ศาสนสถิตไว้                  ใจเมือง
                     ธรรมขันธ์วามวาวเรือง         รุ่งโรจน์
                     สิกขาบทบรรเทือง              สมณะ
                     ประหนึ่งแสงธรรมโชติ        โปรดให้คายะนา

                          เจิดจรัสแจร่มจ้า             ไพศุทธิ์
                     ปางเมื่อสมเด็จพุทธ            ยอดฟ้า
                     โปรดก่อศาลหลวงรุด          อรรถเร่ง
                     กระลาการเกียรติกล้า          เกลื่องแกล้วสัตย์สิน

                         ลุสองสามสี่เจ็ดได้          เกิดคดี
                     นายช่างเหล็กบุญสี            เรื่องรู้
                     พระเกษมปรับวจี                สัตย์หย่า
                     ความฝ่ายถูกใช่ชู้               พ่ายแพ้กลความ

                         ปฐมเหตุดังกล่าวแล้ว      เหตุประถม
                     พระผ่านพิภพบรม               โปรดให้
                     ปราชญ์สิบเอ็ดบังคม           รวมแต่ง
                     ประมวลกฎหมายไว้            ชื่อชั้นตราสาม

                         ตราสามดวงเล่มนี้            อินทภาษ
                     หัสสนัยประกาศ                   เวี่ยงไว้
                     ปรับความจ่งปราศ                อคติ
                     ภยะโทสะไร้                        ห่างสิ้นโลภหลง

                         การคดีแบบอย่างเบื้อง    บาทบงสุ์
                     ความเที่ยงธรรมธำรง          โอบเอื้อ
                     ประสิทธิ์ยุติธรรมทรง           ศักดิ์ยิ่ง
                     ธรรมชูธรรมเชิดเชื้อ             ก่อเกื้อยุติธรรม...
         

                     

     

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

๘. ศาลฎีกา ในเอกสารที่รอการทำลาย

๘. ศาลฎีกา  ในเอกสารที่รอการทำลาย
"ศาลฎีกา  อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ"........... โดย  นิกร  ทัสสโร

     วันนี้. การออกข้อสอบสำหรับการสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาทั้งสามสนามสอบเสร็จแล้ว. เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน. ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาลขึ้นมาอ่าน. เอกสารชุดนี้มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว.เป็นเอกสารจำนวนมากที่รอการทำลาย. แต่ผมเห็นเข้าจึงปรึกษากับท่านอาจารย์เธียร เจริญวัฒนา และพี่จารุณี ว่า ผมเสียดายอยากเก็บไว้ อาจารย์และพี่จาเห็นด้วยและว่าต้องช่วยกันเก็บไว้. จึงได้เก็บเอกสารหลายหมื่นแผ่นนี้ไว้.
     เอกสารเหล่านี้มีเรื่องอะไรบ้าง? เอกสารที่ขนไปเก็บไว้ที่อาคารเก็บเอกสารนั้น มี คำพิพากษาศาลขณะที่ยังใช้อัฏฏวิจารณ์ศาลาในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ทำการ, เอกสารค่าใช้จ่ายคดีพระยอดเมืองขวาง,เอกสารเกี่ยวกับศาลโปริสภาเมื่อแรกตั้ง ในปี ๒๔๓๖ ,เอกสารเกี่ยวกับการทุจริตในกระทรวงยุติธรรม สมัยรัชกาลที่ ๕ และเอกสารอื่นๆอีกมากมายนัก.ซึ่งล้วนแต่เป็นเอกสารที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของศาลทั้งสิ้น ผมถามเจ้าหน้าที่ศาลว่า ทำไมจึงต้องทำลายเอกสารเหล่านี้เสียล่ะ.          เค้าตอบว่า. " ไม่มีที่เก็บ".

     เอกสารที่เกี่ยวกับการทุจริตในศาลนั้น.ที่ผมพบทั้งที่ศาลและที่หอจดหมายเหตุไม่ได้มีชุดเดียวนะครับ. แต่ผมจะไม่นำมากล่าวถึง เพราะผู้ที่กระทำท่านล่วงลับไปแล้ว อีกทั้งขณะนี้ยังมีทายาทของท่านรับราชการเป็นผู้พิพากษาอยู่. คงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาเขียน. เหมือนที่เสด็จในกรมหลวงราชบุรีฯมีพระบันทึกไว้ว่า สอบสวนกันไปก็เหมือนการซักผ้าขี้ริ้ว. คือทรงเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ และบางเรื่องพระองค์ก็ทรงชดใช้แทนไป.แต่บางเรื่องล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ โปรดให้สอบสวนและให้คนทุจริตชดใช้เงินคืน.เงินแผ่นดินนี้ คงถือกันมานานแล้วว่า "ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้" ได้อ่านเอกสารเหล่านี้บ้างก็เป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง.และได้เห็นว่าในอดีตนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง. คลี่คลายไปอย่างไร

   ที่อยากเขียนถึงในบทนี้ คือ เรื่องศาลโปริสภาครับ. ต้นฉบับเอกสารที่รอดจากการทำลาย.เป็นเรื่องการก่อตั้งศาลโปริสภา เมื่อ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) น่าสนใจหลายเรื่องทีเดียว. เพราะมีทั้งแบบแปลนการซ่อมแซมศาล ,ที่ตั้งศาล และ คดีแรกของศาลโปริสภาซึ่งจำเลยมีอาชีพเป็นลิเกที่แถวพาหุรัด./

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

๗. ข่าวปล่อย

๗. ข่าวปล่อย
" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "...........โดย. นิกร  ทัสสโร
   
       ช่วงนี้มีข่าวปล่อยข่าวลือเพื่อที่จะรื้อทำลายอาคารศาลยุติธรรมหลังอนุสาวรีย์พระรูปพระบิดาแห่งกฎหมายไทยออกมาค่อนข้างถี่. เช่น ออกข่าวว่าอาคารศาลฎีกาที่กำลังก่อสร้างห่างจากอาคารศาลยุติธรรมที่อนุรักษ์ไว้ เพียง ๕๐ เซนติเมตร. ทั้งที่ทั้งสองอาคารมีพื้นที่ว่างระหว่างอาคารถึงกว่า ๑,๐๐๐ ตารางเมตร. กล่าวคือ บางตำแหน่งห่างกัน ๒๐ เมตร. บางบริเวณห่างกัน ๑๓ เมตร. แล้วแต่มุมของอาคาร..
   
          พวกเราที่ต้องการอนุรักษ์สมบัติชาติ ก็ต้องต่อสู้กันต่อไป ต้องไม่เสียกำลังใจ...อาคารศาลยุติธรรมหลังนี้สรา้งขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในการที่ประเทศไทยได้รับเอกราชทางการศาลโดยสมบูรณ์. และเป็นอาคารในกรุงเทพฯที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเป็นครั้งแรกในรัชสมัย.เหลืออยู่เพียงหลังเดียวแล้ว. และขณะนี้ก็ได้รับตราพระนามาภิไธย "สธ" ของสมเด็จพระเทพรัตน์ ว่าเป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่น
      จึงนับว่าอาคารนี้เป็นประวัติศาสตร์การศาลไทย ที่ทรงคุณค่าอย่างอาคารศาลยุติธรรมหลังนี้.และภาพของคนเล็กๆในสังคมไทยผู้ซึ่งมีความผูกพันต่อบรรพบุรุษของเขาก็ปรากฏขึ้น. วันหนึ่งเขาจึงไปที่บริเวณที่ก่อสร้าง. แล้วบอกแก่คนงานว่า...เป็นหลานของคุณพระสาโรชรัตนนิมมานก์ผู้ออกแบบและก่อสร้างอาคารนี้ จึงขอเศษอิฐอาคารในส่วนที่รื้อถอนลง ขอนำไปเป็นที่ระลึก...นี่คือระดับจิตใจของคนที่รู้ค่า

      เมื่อกล่าวถึงคุณพระสาโรชฯแล้ว. ผมก็ขอเล่าไปเสียในคราวเดียวกันว่า คณะผู้ก่อสร้างศาลยุติธรรม ประกอบด้วย
      - พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช ร. สุขยางค์) นายช่างนักเรียนลิเวอร์พูลทุนกระทรวงธรรมการ
      - พันเอก หลวงบุรกรรมโกวิท (ล้อม บุรกรรมโกวิท) อธิบดีกรมโยธาธิการ
      - หลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (วิสุทธิ์ ไกรกฤษ์) อธิบดีศาลแพ่ง นักเรียนกฎหมายอังกฤษทุนพระราชทาน
      - นายหมิว อภัยวงศ์
      - มิสเตอร์ เอฟ. บิสโตโน

       ในที่นี้ขอเล่าประวัติของ นายช่าง เอฟ. บิสโตโน ( F. Pistono ) นะครับ. เพราะผมเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครค้นคว้าประวัติของท่าน หรือมีก็ไม่มากนัก. ประวัติของท่านนี้ผมได้ค้นพบที่หอจดหมายเหตุเมื่อไม่นานมานี้. ท่านมีประวัติว่า...ท่านจบด้านสถาปัตย์และมีความรู้ภาษาไทย.  เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ค.ศ. ๑๙๒๒ กระทรวงมหาดไทยของเราได้ทำสัญญาว่าจ้างให้ท่านมาทำงานด้านการช่างที่เมืองไทย. โดยสัญญาทำขึ้นที่สถานทูตไทยในกรุงโรม สัญญาฉบับนี้มีอายุ ๑ ปี. เมื่อบิสโตโนมาทำงานที่เมืองไทยแล้ว วันที่ ๑๗  กุมภาพันธ์ ๑๙๒๓ ก็ได้ทำสัญญาใหม่มีกำหนด ๒ ปี และได้รับเงินเดือนเพิ่มด้วย.
        ครั้นถึงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๑๙๒๔ บิสโตโนขอต่อพระยากรกิจพิจารณ์ อธิบดีกรมสาธารณสุข เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประจำ. ท่านรับราชการอยู่จนถึงปี ๒๔๙๐ จึงได้ขอลาออกและเดินทางกลับ. ทางราชการไทยระลึกถึงคุณความดีของท่าน คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๙๑ ให้ท่านได้รับบำนาญเป็นพิเศษ
        นายช่างบิสโตโนและภรรยาพร้อมบุตรอีกสามคน. กลับไปยังบ้านเกิดแล้ว. แต่ที่ฝากไว้ในแผ่นดินไทยผลงานหนึ่งก็คือ...อาคารศาลยุติธรรม./

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๖. เอกราชทางการศาล กับ อาคารศาลยุติธรรม

 ๖. เอกราชทางการศาล กับ อาคารศาลยุติธรรม

"ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ" ..............โดย  นิกร  ทัสสโร........
 
   ในการก่อสร้างศาลฎีกาครั้งแรกนี้. เมื่อเริ่มโครงการก็ได้มีกรมศิลปากร และ สมาคมสถาปนิกสยาม ตลอดจนคณะบุคคลและองค์กรต่างๆ คัดค้านด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ. ทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่สถาบันศาลไม่เคยเจอมาก่อน เพราะอดีตที่ผ่านมาทุกฝ่ายมักจะให้ความเคารพในสถาบันศาล. แต่ยุคสมัยนี้เริ่มเปลี่ยนไปมากแล้ว. การคัดค้านนั้น เริ่มจากวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ คณะของสมาคมสถาปนิกสยาม เข้าพบนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ขอให้กรมศิลปากรคัดค้านการก่อสร้าง. จากนั้นสมาคมสถาปนิกสยามมีหนังสือถึงประธานศาลฎีกาขอเข้าสำรวจคุณค่าของกลุ่มอาคารศาลฎีกาทุกอาคาร.ช่วงบ่ายของวันหนึ่งผู้อำนวยการศาลฎีกานำหนังสือนั้นมาให้ผม เพราะทางการศาลให้ผมทำความเห็น. ผมทำความเห็นว่าศาลอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีสำคัญ จึงไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าสำรวจอาคาร.ต้องยอมรับว่าความเห็นเช่นนี้เป็นการตั้งรับ เพื่อรอดูท่าทีของฝ่ายคัดค้าน.ว่าจะมีท่าทีต่อไปอย่างไร.

      จากนั้นไม่นานกรมศิลปากรก็เริ่มรุกโดยมีหนังสือถึงประธานศาลฎีกา และ ท่านอาจารย์วิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม แจ้งว่าอาคารศาลยุติธรรม (หลังอนุสาวรีย์พระรูปกรมหลวงราชบุรี) และอาคารศาลด้านริมคลองคูเมืองเป็นโบราณสถาน. กรมศิลป์ขอส่งคณะข้าราชการเข้าสำรวจเพื่อขึ้นทะเบียนโบราณสถาน. พร้อมกันนั้นอธิบดีเกรียงไกรก็เริ่มแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน คัดค้านการก่อสร้าง.ทางศาลจึงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา.ที่ประชุมของฝ่ายศาลจึงมีมติให้มีการเจรจากับกรมศิลปากร. ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นการเจรจากับทุกฝ่ายทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างศาลฎีกา. ผู้นำในการเจรจาของฝ่ายศาลนั้น นำโดยอาจารย์วิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม. ส่วนฝ่ายที่คัดค้านก็มีผู้นำหลากหลาย เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม  บางครั้งหากเจรจาที่วุฒิสภาก็มีประธานกรรมาธิการศาสนาและศิลปของวุฒิสภาเป็นผู้นำ. และบางครั้งเมื่อมีการเจรจาที่คณะวิชาการของกรมศิลปากร ก็มีอธิบดีกรมศิลปากรเป็นผู้นำ....นอกจากฝ่ายคัดค้านดังที่ผมกล่าวแล้ว ยังมีองค์กรเอกชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วมคัดค้านด้วย การคัดค้านขององค์กรเหล่านี้ ทำเป็นหนังสือก็มี ลงชื่อใน facebook ก็มี  ทำหนังสือถึงองค์กรตาม
รัฐธรรมนูญก็มี. ออกทีวี และสื่อทุกประเภทก็มี. ที่สำคัญ คือการค้านในรูปแบบประชุมทางวิชาการ เช่น การประชุมโดย อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร และกลุ่มคณะบุคคลอื่นอีกหลายครั้ง.เรียกว่าเปิดการรุกฝ่ายศาลทุกสรรพกำลัง

   
    ทำไมจึงต้องมีการเจรจา...คำถามนี้หลายท่านอาจจะถาม. คำตอบหลักก็คือ การเจรจาข้อขัดแย้งนั้นเป็นวิถีทางของผู้ที่เจริญ.เมื่อดูฝ่ายคัดค้านแล้วฟากของศาลเห็นว่าการรับมือและแก้ปัญหาดังกล่าว ต้องใช้วิถีของผู้ที่เจริญด้วยปัญญาพึงกระทำซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้อย่างมีเกียรติ เกียรติของผู้ที่เป็นตุลาการ. และรวมถึงเกียรติของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย. ซึ่งกว่าจะได้ผล ต้องใช้เวลาเกือบสองปีรวมการเจรจาประมาณ ๑๕ ครั้ง....โดยผลการเจรจาครั้งสำคัญปรากฏตามหนังสือของกรมศิลปากร ที่ วธ ๐๔๐๓/๑๖๓๔ ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีข้อความสำคัญที่สุดว่า "...กรมศิลปากรได้แนะนำข้อราชการที่เป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์โบราณสถานสำคัญ โดยท่านนิกร  ทัสสโร  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ซึ่งเป็นผู้แทนศาลฎีกา ได้จดรายละเอียดไปแล้ว..."
         
       ไม่น่าเชื่อว่าแม้กรมศิลปากรจะมีหนังสือแจ้งศาลฎีกาเช่นนี้แล้ว. แต่ครั้นศาลเริ่มการก่อสร้างกรมศิลปากรกลับแจ้งความดำเนินคดี.

     ประธานศาลฎีกาจึงมอบหมายให้ผมรับผิดชอบให้การแก้ต่างคดีต่อพนักงานสอบสวน. และผมยังต้องชี้แจงต่อคณะผู้บริหารศาลว่า ข้อความที่ผมจดมานั้นมีว่า....ในการก่อสร้างศาลฎีกาครั้งนี้ให้ใช้แบบของจุฬาสร้างทับลงแทนอาคาร ๒ ด้านริมคลอง และอาคาร ๓ ด้านถนนราชดำเนิน โดยให้คงอาคารหลังพระรูป (อาคาร ๑ ) ไว้ และศาลจะลดความสูงของอาคารลง...ความสูงที่ศาลลดลงนั้นศาลลดลงให้ต่ำกว่าความสูงของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือ สูงเพียง ๒๕.๗๐ เมตร
   
     ทำไมต้องเหลืออาคารหลังพระรูปไว้ .อาคารหลังพระรูป อาคารนี้ในปัจุบันเรียกว่า " อาคารศาลยุติธรรม". เดิมเคยเป็นที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม. ในประวัติศาสตร์ของชาติต้องถือว่าเป็นอาคารที่สำคัญที่สุดหลังหนึ่ง. เพราะสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเอกราชทางการศาลโดยสมบูรณ์. ในปี ๒๔๘๑.

      เคยมีผู้ถามผมว่าเอกราชทางการศาลคืออะไร?...เอกราชทางการศาลคือการที่ประเทศสามารถพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตที่เป็นดินแดนของตนได้ทุกประเภทคดี. ไม่ว่าคู่ความที่มีข้อพิพาทนั้นจะเป็นคนชาติของตนหรือคนต่างชาติ. ในสมัยรัตนโกสินทร์ประเทศไทยเสียเอกราชทางการศาลเพราะต้องตกอยู่ภาคใต้ "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" แก่ประเทศต่างๆหลายประเทศมาก เริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๓๙๘ ซึ่งเป็นวันที่สยามลงนามในสัญญาพระราชไมตรีกับอังกฤษ. เรียกชื่อสัญญาฉบับนี้ว่า " สัญญาเบาว์ริ่ง " สัญญาเบาว์ริ่ง ( Bowring Treaty ).สัญญานี้มีผลบังคับในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๙๙. ชาวอังกฤษที่เป็นราชทูตมาทำสัญญาชื่อ John Bowring .สัญญานี้ ข้อ ๒ กำหนดว่า สยามยอมให้อังกฤษตั้งสถานกงสุลมีอำนาจพิจารณาคดีที่คนอังกฤษเป็นคู่ความ และร่วมพิจารณาคดีที่คนสยามและคนอังกฤษมีคดีความ...นั่นก็หมายความว่าประเทศเราไม่มีสิทธิตัดสินคดีคนอังกฤษที่มาอยู่ในประเทศเรา...หลังจากนั้น ประเทศอเมริกา ,ฝรั่งเศส, เดนมาร์ก,โปรตุเกส, ฮอลแลนด์,เยอรมัน,เบลเยียม,นอรเวย์, อิตาลี, ก็ได้ทำสัญญาได้สิทธิตัดสินคดีคนของตนเองในเมืองไทยเช่นเดียวกับอังกฤษ...ประเทศไทยพยายามปลดเปลื้องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตมานานแล้วและค่อยๆประสบความสำเร็จ. จนกระทั่งถึงปี ๒๔๘๑ จึงได้รับผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์./