" ศาลฎีกา อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "....................โดย นิกร ทัสสโร
@ มน นามขานชื่อตู้ ฎีกา
ตรี กาลคำนึงมา เปรียบไว้
ยอด ชนต่างตรึงจา- รึกชื่อ
ปัญญา เด่นดุจได้ ดั่งเนื้อมณีศาล
@ คราวครายามท่านให้ ความเห็น
ชัดแจ่มแถลงประเด็น ที่ชี้
สถาป์ปัตย์ควรเป็น ตามที่ วาดแบบ
คงหนึ่งอาคารนี้ คู่ค้ำภูมิสถาน./
ผมให้ความเคารพและศรัทธาท่านอาจารย์มนตรีมากที่เดียวเป็นเพราะชื่อเสียงด้านความรู้ทางกฎหมายของท่านที่มีเป็นอย่างสูง. ในระดับที่ได้รับการยกย่องว่า เป็น " ตู้ฎีกาเคลื่อนที่ ". จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ผมรับราชการอยู่ที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี ๒๕๓๙ มีการประชุมสัมมนาผู้พิพากษาที่เกาะสมุย (สัมมนาจริงๆนะครับ ).ท่านอาจารย์วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผู้บรรยายกล่าวถึงอาจารย์มนตรีอย่างยกย่องว่ามีความจำดีเลิศ. และฉลาดเฉลียวมากทางกฎหมาย.
ครั้นถึงปี ๒๕๔๓ ผมย้ายเข้ามาเป็นผู้พิพากษาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้. ท่านอาจารย์มนตรีเป็นรองอธิบดี และดูแลบังคับบัญชา. ผมได้คำแนะนำจากท่านมากหลายประเด็น คราวหนึ่งผมติดปัญหาเรื่องกฎหมายหุ้นส่วน บริษัท.เพียงผมขอความรู้และพูดถึงปัญหายังไม่ทันจบคำถาม ท่านอาจารย์มนตรีก็ตอบได้ทันทีว่า " เรื่องนี้เป็นเรื่อง บริษัทร้าง "
ข้อกฎหมายเรื่องบริษัทร้างนี่นะครับ. นักกฎหมายเรียนมาก็แค่รู้.เพราะมีการใช้กันน้อยมาก แต่ท่านอาจารย์รู้ นับว่าเป็นผู้ยอดปัญญา สมนามสกุลจริงๆ.
เมื่อผมรับราชการที่ศาลฎีกา.ขณะนั้นท่านอาจารย์มนตรีเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จากนั้นก็เลื่อนเป็นรองประธานศาลฎีกา. ผมก็ได้ร่วมงานกับท่านอาจารย์มนตรีในคณะอนุกรรมการ กบศ. ชุดที่ชื่อว่า " คณะกรรมการอำนวยการและแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา " คณะนี้มีท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน เมื่อปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกาเริ่มมีมากขึ้น จนศาลต้องประชุมกันหลายครั้ง ท่านอาจารย์มนตรีได้ให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ทุกครั้ง. เช่น ให้ความเห็นเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ว่า หากการก่อสร้างไม่สามารถดำเนินการได้เพราะมีผู้คัดค้าน ศาลฎีกาก็ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายของใครก็ตาม เพราะการคัดค้านที่เกิดขึ้น นับเป็นเหตุสุดวิสัยของฝ่ายศาล.
" เหตุสุดวิสัย " เป็นคำในกฎหมายนะครับ ผู้ที่เชี่ยวชาญกฎหมายเรื่องสัญญา. จะทราบเรื่องนี้ แต่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้แค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้เพียงอย่างเดียว ยังขึ้นอยู่กับจริยธรรมและความมีจิตใจที่ยุติธรรมด้วย. คือ ใช้เหตุสุดวิสัยตะพึดตะพือ ไม่ได้
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๖ นาฬิกา .ผมได้เข้าพบท่านอาจารย์มนตรีที่ห้องรองประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นห้องทำงานของท่าน. ผมหารือท่านอาจารย์เรื่องปัญหาในการก่อสร้างศาลฎีกา.ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า " การที่แบบอาคารออกแบบเป็นทรงไทยนั้น ขอให้พวกเราเคารพผู้ออกแบบ เราต้องรู้ว่าท่านอาจารย์ภิญโญท่านเชี่ยวชาญแบบไทย เมื่อศาลขอให้ท่านออกแบบให้ ศาลต้องรู้ว่าแบบที่จะออกมานั้นต้องเป็นแบบไทย " แล้วท่านก็กล่าวเป็นภาษิตขึ้นว่า ตัวท่านอาจารย์นั้น " ยังไม่ถึงเวลา เดี๋ยวจะถูกหาว่าไม่เห็นน้ำก็รีบตัดกระบอก "
จากนั้นอาจารย์ก็นำผมไปหารือกับท่านอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ เทวกุล ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างศาลฎีกา ที่ห้องทำงานของท่านอาจารย์หม่อม.ระหว่างการหารือกันนั้น ผมได้สรุปเรื่องราวให้ท่านทั้งสองฟัง และประเมินสภาพการณ์ทั้งหมดให้ทราบ. ท้ายสุดท่านอาจารย์มนตรีและผมก็ลาอาจารย์หม่อมหลวงฤทธิเทพ.ระหว่างนั้นท่านอาจารย์ก็พูดกับผมว่า... "ท่านนิกรไปกราบเรียนท่านประธานศาลฎีกาเถอะ ".
ขณะที่ท่านอาจารย์มนตรีดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา. ท่านอาจารย์เป็นห่วงเรื่องการสร้างศาลฎีกาอย่างยิ่ง. ปรากฏจากบันทึกของท่านอาจารย์โสภณที่ว่า.....
(เรื่องราวการก่อสร้างศาลฎีกาทั้งหมดผมบันทึกไว้ในเอกสารส่วนตัว จะนำมาเผยแพร่ไปเรื่อยๆ เป็นการเล่าเรื่องแบบบ้านๆ ของคนบ้านนอก ที่บังเอิญว่าได้มาทำงานนี้ เพื่อให้เห็นความดีของบรรพตุลาการทุกๆท่านในการก่อสร้างอาคารศาลฎีกา... )./