๕. พระบิดาแห่งกฎหมายไทย ; เมื่อเยาว์วัยที่อังกฤษ
" ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ " ............โดย นิกร ทัสสโร.........
ที่หน้าอาคารศาลยุติธรรมในพื้นที่ของศาลฎีกานั้น. มีการประดิษฐานอนุสาวรีย์พระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเปิดพระรูปนี้ เมื่อที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๐๗. ต่อมาในปี ๒๕๔๙ ผมได้เขียนพระประวัติของเสด็จในกรมหลวงราชบุรีไว้ เป็นภาคที่หนึ่ง ซึ่งสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คได้จัดพิมพ์จำหน่าย โดยมอบค่าลิขสิทธิ์ถวายให้แก่ " รพีบุญนิธิ " ...แม้หนังสือเล่มนี้จะได้รับการประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นหนังสือสารคดี ดีเด่น ประจำปี ๒๕๕๐ และผมได้รับรางวัลพระราชทานแล้วก็ตาม แต่ยังมีเรื่องที่ผมติดใจจะสืบค้นต่ออยู่อีก ๒ เรื่อง คือ ๑. ผมต้องการทราบว่าขณะที่พระองค์มีพระชันษา เพียง ๑๑ ปีและทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษนั้น ชีวิต และ การศึกษา ของพระองค์ เป็นอย่างไร ๒. ในช่วงท้ายแห่งพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงเข้ารับการรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลใดในกรุงปารีส ...สองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมติดใจ ติดใจมากในระดับข้าวเหนียวไก่หาย...คือ.ติดใจอยากรู้.เสียจริงๆ..นิว่าเรื่องเป็นพรรค์พรื้อ? ++ แต่วันนี้. ผมสืบค้นพบเรื่องหนึ่งแล้ว...ผมขอเล่าให้ฟังนะครับ...
๑. การเสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษนั้น เสด็จในกรมหลวงราชบุรีเสด็จถึงสถานทูตสยามที่กรุงปารีส เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๒๘. พระองค์และพระเจ้าพี่พระเจ้าน้องรวมสี่พระองค์ประทับที่สถานทูตแห่งนั้น ๕ วัน ระหว่างที่อยู่ปารีส พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ราชทูตถวายการต้อนรับ และ " ถ่ายรูปกรุปพร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอทั้งสี่พระองค์" หลังจากนั้นเสด็จในกรมหลวงราชบุรีและพระเจ้าลูกยาเธอได้เสด็จไปกรุงลอนดอน. "เสด็จต่อไปถึงกรุงลอนดอนโดยเรียบร้อย" เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๔๒๘ ที่กรุงลอนดอนพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่พระองค์ประทับที่ " The Siamse Lecation 23 Ashburn Place London . S.W "
ในระหว่างเดือนสิงหาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๔๒๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ ถี่มาก ถึงสามครั้ง เรียกว่าเดือนละครั้ง. ส่วนพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสี่ การที่ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ต่างประเทศดังกล่าว ก็ประดุจว่าได้ทรงเห็นโลกกว้าง เพราะได้ทอดพระเนตรความเจริญทุกด้านของกรุงลอนดอน. แต่ด้วยความที่ยังทรงพระเยาว์อยู่มาก หลายคราวจึงทรงพระกรรแสง ดังความในหนังสือของเจ้าพระยายมราชที่มีมากราบทูลสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงษ์วโรปการ องค์เสนาบดีกรมท่า ที่ว่า
" ...๒๗ NOVEMBER ๑๘๘๕ ...วัน ๔ ฯ (๘) ๑๐ ค่ำ ท่านราชทูตพาพระเจ้าลูกเธอไปทอดพระเนตรโรงเอศบิเชน ข้าพระพุทธเจ้ากับนายรองทรงตามเสด็จ ...วัน ๖ ฯ (๑๐) ๑๒ ค่ำ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิทรงอักษรเมล์ ๔ ฉบับ กราบบังคมทูลพระกรุณาฉบับ ๑ ถวายสมเด็จพระพุทธโฆษาจาริย์ ฉบับ ๑ ถวายพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชรญาณวโรรส ฉบับ ๑ ถึงคุณจอมมารดา ฉบับ ๑ ....
ณ วัน ๒ ฯ (๑๓) ๑๐ ค่ำ พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ได้รับพระราชทานพระราชหัตถเลขา ครั้งที่ ๓ องค์ละฉบับ กับหนังสือคุณจอมมารดาองค์ละฉบับ เมื่อพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิทรงอ่านอยู่น้ัน ได้ทรงทราบว่า คุณขรัวยายถึงแก่กรรม ก็ทรงพระกรรแสง....
ณ วัน ๒ ฯ (๕) ๑๐ ค่ำ ท่านราชทูตภาพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ไปส่งสกูล นายเปลี่ยนกัปตันตามเสด็จไปด้วย เมื่อท่านราชทูตจะเสด็จกลับนั้นก็ดีอยู่ มิได้ทรงกรรแสง ครั้นเวลากลางคืนก็ทรงกรรแสงท้ังสองพระองค์ ด้วยเคยทรงเล่นอยู่ที่เลเคเช่นมีคนไทยอยู่ด้วย เสด็จไปอยู่กับฝรั่งก็เป็นที่เปลี่ยวพระไทยไป...ครูผู้หญิงสอนเวลาเช้า ครูผู้ชายสอนเวลาบ่าย ...เวลาน้ันพึ่งจะเสด็จไปอยู่ใหม่ๆ ทรงกรรแสงอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าจะทูลลา พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดชใส่กุญแจห้องเสียไม่ให้ข้าพระพุทธเจ้ามา.
ณ วัน ๗ ฯ (๑๐) ๑๐ ค่ำ ท่านราชทูตรับสั่งให่หม่อมไปรับเสด็จมาเลเคเช่น ค้างอยู่ ๑ คืน แล้วท่านราชทูตรับส่ังว่า อย่าทรงกรรแสงเลย สองวิกจะรับมาเลเคเช่นครั้ง ๑ ....วัน ๗ ฯ (๘) ๑๑ ค่ำ พระบาทของพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ โดนมุมเตียงเหลกเปนรอยขีดหน่อยหน่ึง เวลากลางคืนปวดพระบาทที่เป็นแผลนั้น ปากแผลบวม คร้ัน ๕ ทุ่ม ค่อยหายปวด แล้วก็บรรทมหลับ..."
ในการเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นั้น. ผมทำใจอยู่เสมอว่า โอกาสที่จะเขียนผิดพลาดมีความเป็นไปได้สูง. เรื่องการศึกษาของพระบิดาแห่งกฎหมายไทยก็เช่นกัน ผมเคยกล่าวไว้ในหนังสือที่ผมเรียบเรียงว่า. ทรงสอบผ่านแล้ว Christchurch College ; Oxford University เห็นว่าทรงพระเยาว์ จึงไม่รับเข้าเรียน พระองค์ต้องสอบอีกครั้งหนึ่ง. (ข้อมูลนั้นได้มาจากการสัมภาษณ์). แต่เมื่อผมได้ค้นคว้าจากเอกสารต้นฉบับที่ส่งมาจากประเทศอังกฤษแล้ว. ผมพบความจริงว่าคลาดเคลื่อนอยู่ ผมอยากจะบันทึกเป็นข้อมูลใหม่ไว้ว่า ..." ครั้งแรกหลาย College ไม่รับเข้าสอบเพราะเห็นว่าอายุยังน้อย พระองค์ทรงเสียพระทัยมาก แต่ก็ได้พยายามติดต่อขอเข้าสอบไปทาง Christchurth อีกวิทยาลัยหนึ่ง วิทยาลัยนี้ยอมให้เข้าสอบ ผลการสอบปรากฏว่า ทรงสอบได้ แต่ยังไม่ได้เรียนทันที มีข้อขัดข้องเรื่องอายุน้อย ต้องรออีกประมาณ ๖ เดือนจึงได้ทรงเข้าเรียน."
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
๔. ศาลฎีกา ; ค้นหาความรู้จากหนังสืองานศพ
๔. ศาลฎีกา ; ค้นหาความรู้จากหนังสืองานศพ
" ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "........โดย นิกร ทัสสโร.....
ในขณะนี้ ผู้ที่สนใจค้นหาความจริงบางอย่างที่เกี่ยวกับศาลฎีกา สามารถสืบค้นได้หลายช่องทาง. แต่มีช่องทางหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก นั่นคือ การสืบค้นจากหนังสืองานศพ. แน่นอนเลยครับ สิ่งแรกและสำคัญอย่างยิ่งที่ท่านควรปฏิบัติเมื่อตัดสินใจสืบค้นจากหนังสือประเภทนี้. คือต้องอ่านในเวลากลางวัน. ผมสนใจสืบค้นเรื่องศาลฎีกาจากหนังสืองานศพ ก็ด้วยข้อสงสัยอยู่หลายเรื่องด้วยกัน เช่น หนึ่ง. เรื่องแรกนั้นคือ ผมสงสัยว่า ข้อที่ว่า การก่อสร้างศาลฎีกา ตามแบบของกระทรวงยุติธรรมสวิตเซอร์แลนด์นั้น เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด...หรือ ความสามารถทั้งหมดในการรังสรรค์ แบบแปลนของการก่อสร้างอาคารศาลฎีกามาจากสติปัญญาของยอดคนด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่มีชื่อว่า .."พระสาโรชรัตนนิมมานก์" หรือมีผู้อื่นร่วมรังสรรค์งานชิ้นนี้ด้วย ...สอง. จะเรียกว่าเป็นข้อสงสัยก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้อยากอ่านหนังสืองานศพบางเล่มดีกว่า เพราะในระหว่างการรื้อถอนและก่อสร้างศาลฎีกาอยู่ขณะนี้ คนงานและผู้ที่ทำงานในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ได้.."เห็น" ...เห็นชายใส่สูทช่วงใกล้ค่ำ ที่ว่า "เห็น" นั้นไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ ...ต่างครั้งต่างคราวกันต่างคนต่างเห็น สามถึงสี่ครั้งแล้ว ...+++...และครั้งหนึ่งผู้ที่ปรากฏให้เห็นได้ "ถาม" ออกมาด้วย...ซึ่งผู้ที่ถูกถามนั้นขณะนี้ขอลางานแล้ว.เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ เคยมีการบันทึกไว้ในหนังสืองานศพเล่มใดบ้าง ...สาม มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับศาลฎีกา ห้องทำงานในศาลฎีกา หรือภูมิสถานศาลฎีกา หรือแผ่นที่บริเวณศาลนี้ไว้ ...สี่ มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องผู้พิพากษาศาลฎีกาไว้..ทุกๆเรื่องอันเป็นตัวอย่างที่ผมกล่าวถึง น่าสนใจสืบค้นทั้งสิ้นครับ.
ขอเริ่มต้นที่หนังสืองานศพที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร หรือตัวอาคารศาลก่อนนะครับ. หนังสืองานศพที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลฎีกา. มีอยู่หลายเล่ม เท่าที่ผมได้อ่านมา ก็มี ๑. หนังสืองานศพของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร ๒. หนังสืองานศพของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ ต่อไปเล่มที่ ๓. หนังสืองานศพของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และที่ ๔. หนังสืองานศพของหลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์...หนังสืองานศพในแต่ละเล่มให้ข้อมูลเรื่องแบบแปลนของอาคารศาลฎีกาและเรื่องราวโครงการก่อสร้างอาคารศาลไว้อย่างมาก. มากพอที่เมื่อนำมาเรียงต่อเข้าด้วยกันแล้ว ก็จะได้เป็นภาพที่คมชัดและเป็นความรู้ที่ดียิ่ง. แต่หากว่าท่านผู้ใดอ่านหลายรอบแล้ว ยังไม่ชัดอีก ผมก็ขอแนะนำให้ท่านไปที่บริเวณที่ก่อสร้างศาลฎีกาในช่วงใกล้ๆ ค่ำ. แล้วจะมีผู้มาบอกท่านเอง แต่ท่านต้องตั้งใจฟังให้ดี เพราะเวลานั้นจะมีเสียงสุนัขหลายตัวหอนรับ.
เมื่อได้อ่านหนังสืองานศพดังกล่าวแล้ว. ทำให้ทราบว่า การก่อสร้างอาคารศาลฎีกาโดยใช้แบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือแบบ Modern นั้น เริ่มขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗โดยพระองค์ทรงเป็นประธานการประชุม. โครงการก่อสร้างครั้งนั้น เริ่มจากเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศรได้ขอให้ช่างฝรั่งที่ชื่อ ชาร์ล แบเกอแลง ออกแบบอาคารศาลให้ ต่อมาล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ได้ทรงเป็นประธานการประชุมเกี่ยวกับเรื่องแบบอาคารศาล และที่ประชุมนั้นเห็นชอบให้การก่อสร้างศาลใช้แบบโมเดิร์น. โครงการนี้ต้องระงับไปเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี ๒๔๗๕ .
อย่างไรก็ตาม ครั้นถึงยุคที่ได้มีการก่อสร้างจริงๆ ในปี ๒๔๘๒ พระสาโรชรัตนนิมมานก์ ก็ดำเนินแนวทางการก่อสร้างแบบเดิม ที่เรียกว่า "แบบสมัยใหม่" ซึ่งก็คือ Modern ยอดนายช่างท่านนี้ ออกแบบการก่อสร้าง โดยใช้ซีเมนต์มีแกนเหล็กเป็นส่วนสำคัญ และเสริมความสวยงามของอาคารโดยใช้กระจก และที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ ระบบการก่อสร้างฐานราก ที่ไม่มีการใช้เสาเข็ม...งง!..งง! งงไปทั้งบางกอก ถึง ปากบางเชิงแส ใช่มั้ยครับ? ... อาคารซีเมนต์แกนเหล็กที่ไม่ใช้เสาเข็ม. แล้วฐานรากใช้อะไรรองรับ ดินกรุงเทพฯ โคลนทั้งนั้น...ใช้อะไรเป็นรากเป็นฐาน? ...โบราณน่ะ ท่านใช้ไม้ซุงทั้งต้น แต่คุณพระสาโรชฯ ท่านไม่ใช้เสาเข็ม...คำตอบเป็นอย่างนี้ครับ..ระบบวิศวกรรมของคุณพระสาโรชนั้นท่านใช้การลอยตัวที่เรียกว่า " Buoyancy " หรือ " Floating foundation " คือ ออกแบบอาคารโดยให้น้ำและโคลนใต้ดินเป็นแรงพยุงฐานราก ทำให้อาคารลอยตัวอยู่ได้. ฐานรากดังกล่าวนั้นเป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาด ๖ x ๖ เมตร ติดกันเป็นแพลอยอยู่ใต้ดินรับอาคารข้างบน.ใต้บ่อซีเมนต์นี้ มีเข็มไม้ขนาดเล็กยาวประมาณสามเมตรแผ่ห่างๆ เป็นระยะรับคานของบ่อไว้. นับว่าเป็นระบบวิศวกรรมใหม่สุดในยุคนั้น แปลกต่างจากสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ใช้ไม้ซุงเป็นเสาเข็ม หรือเป็นฐานรองรับอาคาร./
" ศาลฎีกา : อัฏฏวิจารณ์จดหมายเหตุ "........โดย นิกร ทัสสโร.....
ในขณะนี้ ผู้ที่สนใจค้นหาความจริงบางอย่างที่เกี่ยวกับศาลฎีกา สามารถสืบค้นได้หลายช่องทาง. แต่มีช่องทางหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมาก นั่นคือ การสืบค้นจากหนังสืองานศพ. แน่นอนเลยครับ สิ่งแรกและสำคัญอย่างยิ่งที่ท่านควรปฏิบัติเมื่อตัดสินใจสืบค้นจากหนังสือประเภทนี้. คือต้องอ่านในเวลากลางวัน. ผมสนใจสืบค้นเรื่องศาลฎีกาจากหนังสืองานศพ ก็ด้วยข้อสงสัยอยู่หลายเรื่องด้วยกัน เช่น หนึ่ง. เรื่องแรกนั้นคือ ผมสงสัยว่า ข้อที่ว่า การก่อสร้างศาลฎีกา ตามแบบของกระทรวงยุติธรรมสวิตเซอร์แลนด์นั้น เป็นความจริงมากน้อยเพียงใด...หรือ ความสามารถทั้งหมดในการรังสรรค์ แบบแปลนของการก่อสร้างอาคารศาลฎีกามาจากสติปัญญาของยอดคนด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่มีชื่อว่า .."พระสาโรชรัตนนิมมานก์" หรือมีผู้อื่นร่วมรังสรรค์งานชิ้นนี้ด้วย ...สอง. จะเรียกว่าเป็นข้อสงสัยก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้อยากอ่านหนังสืองานศพบางเล่มดีกว่า เพราะในระหว่างการรื้อถอนและก่อสร้างศาลฎีกาอยู่ขณะนี้ คนงานและผู้ที่ทำงานในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ได้.."เห็น" ...เห็นชายใส่สูทช่วงใกล้ค่ำ ที่ว่า "เห็น" นั้นไม่ใช่ครั้งเดียวนะครับ ...ต่างครั้งต่างคราวกันต่างคนต่างเห็น สามถึงสี่ครั้งแล้ว ...+++...และครั้งหนึ่งผู้ที่ปรากฏให้เห็นได้ "ถาม" ออกมาด้วย...ซึ่งผู้ที่ถูกถามนั้นขณะนี้ขอลางานแล้ว.เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ เคยมีการบันทึกไว้ในหนังสืองานศพเล่มใดบ้าง ...สาม มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับศาลฎีกา ห้องทำงานในศาลฎีกา หรือภูมิสถานศาลฎีกา หรือแผ่นที่บริเวณศาลนี้ไว้ ...สี่ มีหนังสืองานศพเล่มใดบ้างที่เขียนเรื่องผู้พิพากษาศาลฎีกาไว้..ทุกๆเรื่องอันเป็นตัวอย่างที่ผมกล่าวถึง น่าสนใจสืบค้นทั้งสิ้นครับ.
ขอเริ่มต้นที่หนังสืองานศพที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร หรือตัวอาคารศาลก่อนนะครับ. หนังสืองานศพที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้างศาลฎีกา. มีอยู่หลายเล่ม เท่าที่ผมได้อ่านมา ก็มี ๑. หนังสืองานศพของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร ๒. หนังสืองานศพของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ ต่อไปเล่มที่ ๓. หนังสืองานศพของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ และที่ ๔. หนังสืองานศพของหลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์...หนังสืองานศพในแต่ละเล่มให้ข้อมูลเรื่องแบบแปลนของอาคารศาลฎีกาและเรื่องราวโครงการก่อสร้างอาคารศาลไว้อย่างมาก. มากพอที่เมื่อนำมาเรียงต่อเข้าด้วยกันแล้ว ก็จะได้เป็นภาพที่คมชัดและเป็นความรู้ที่ดียิ่ง. แต่หากว่าท่านผู้ใดอ่านหลายรอบแล้ว ยังไม่ชัดอีก ผมก็ขอแนะนำให้ท่านไปที่บริเวณที่ก่อสร้างศาลฎีกาในช่วงใกล้ๆ ค่ำ. แล้วจะมีผู้มาบอกท่านเอง แต่ท่านต้องตั้งใจฟังให้ดี เพราะเวลานั้นจะมีเสียงสุนัขหลายตัวหอนรับ.
เมื่อได้อ่านหนังสืองานศพดังกล่าวแล้ว. ทำให้ทราบว่า การก่อสร้างอาคารศาลฎีกาโดยใช้แบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือแบบ Modern นั้น เริ่มขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗โดยพระองค์ทรงเป็นประธานการประชุม. โครงการก่อสร้างครั้งนั้น เริ่มจากเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศรได้ขอให้ช่างฝรั่งที่ชื่อ ชาร์ล แบเกอแลง ออกแบบอาคารศาลให้ ต่อมาล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ได้ทรงเป็นประธานการประชุมเกี่ยวกับเรื่องแบบอาคารศาล และที่ประชุมนั้นเห็นชอบให้การก่อสร้างศาลใช้แบบโมเดิร์น. โครงการนี้ต้องระงับไปเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี ๒๔๗๕ .
อย่างไรก็ตาม ครั้นถึงยุคที่ได้มีการก่อสร้างจริงๆ ในปี ๒๔๘๒ พระสาโรชรัตนนิมมานก์ ก็ดำเนินแนวทางการก่อสร้างแบบเดิม ที่เรียกว่า "แบบสมัยใหม่" ซึ่งก็คือ Modern ยอดนายช่างท่านนี้ ออกแบบการก่อสร้าง โดยใช้ซีเมนต์มีแกนเหล็กเป็นส่วนสำคัญ และเสริมความสวยงามของอาคารโดยใช้กระจก และที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ ระบบการก่อสร้างฐานราก ที่ไม่มีการใช้เสาเข็ม...งง!..งง! งงไปทั้งบางกอก ถึง ปากบางเชิงแส ใช่มั้ยครับ? ... อาคารซีเมนต์แกนเหล็กที่ไม่ใช้เสาเข็ม. แล้วฐานรากใช้อะไรรองรับ ดินกรุงเทพฯ โคลนทั้งนั้น...ใช้อะไรเป็นรากเป็นฐาน? ...โบราณน่ะ ท่านใช้ไม้ซุงทั้งต้น แต่คุณพระสาโรชฯ ท่านไม่ใช้เสาเข็ม...คำตอบเป็นอย่างนี้ครับ..ระบบวิศวกรรมของคุณพระสาโรชนั้นท่านใช้การลอยตัวที่เรียกว่า " Buoyancy " หรือ " Floating foundation " คือ ออกแบบอาคารโดยให้น้ำและโคลนใต้ดินเป็นแรงพยุงฐานราก ทำให้อาคารลอยตัวอยู่ได้. ฐานรากดังกล่าวนั้นเป็นบ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมขนาด ๖ x ๖ เมตร ติดกันเป็นแพลอยอยู่ใต้ดินรับอาคารข้างบน.ใต้บ่อซีเมนต์นี้ มีเข็มไม้ขนาดเล็กยาวประมาณสามเมตรแผ่ห่างๆ เป็นระยะรับคานของบ่อไว้. นับว่าเป็นระบบวิศวกรรมใหม่สุดในยุคนั้น แปลกต่างจากสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ใช้ไม้ซุงเป็นเสาเข็ม หรือเป็นฐานรองรับอาคาร./
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)